จิบชา ดูหมอก นอนหลักร้อย ที่ไร่ชาลุงเดช
ไร่ชาลุงเดช ตั้งอยู่ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่มาก ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง ผ่านถนนหนทางที่คดเคี้ยวนิดหน่อย ก็จะได้พบกับไร่ชาที่สวยงาม โค้งวนไปตามไหล่เขา มีบ้านไม้หลังใหญ่ ตั้งโดดเด่นริมไร่ชา บ้านหลังนี้จะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของไร่ก็ว่าได้ ที่ไร่ชาลุงเดช สถานที่หนึ่งที่อยู่ในเส้นทางท่องเที่ยว ดอยม่อนเงาะ สามารถเที่ยวทั้งแบบ one day แวะชมไร่ชา จิบกาแฟ ทานอาหาร หรือพักค้างคืนสัมผัสบรรยากาศ ชมสายหมอกยามเช้าก็ดีไม่น้อย
บ้านหลังนี้ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นร้านอาหาร และห้องพัก รวมทั้งที่กางเต้นท์ โดยชั้นบนสุดคือ ร้านอาหาร ชั้นต่อมา คือห้องพัก และชั้นล่างสุด คือ จุดกางเต็นท์ ซึ่งแต่ละชั้นทำระเบียงแบบเปิดโล่ง มีที่นั่งชมวิวแบบแนบชิดไร่ชา สามารถนั่งชมวิว จิบชา มองวิวภูเขาได้แบบชิวๆ
ลุงเดชเจ้าของไร่ ด้วยบุคลิกของคุณลุงที่ได้รู้จักกันในครั้งแรก อาจดูสีหน้าและน้ำเสียงจะนิ่งเหมือนจะดุ แต่เมื่อได้คุยและเริ่มคุ้นเคยกัน คุณลุงใจดีมาก เล่าให้ฟังว่า ปกติอาชีพหลักคือ ทำชา เป็นเกษตรกร อยู่แต่ในป่าบนดอย จะไม่ค่อยคุ้นเคยกับการต้อนรับนักท่องเที่ยว บางครั้งทำตัวไม่ถูก เพราะคนที่มาที่ไร่มีหลากหลายรูปแบบ ลุงรักการทำชาอยู่กับมันมาหลายสิบปี ตอนแรกไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแต่เปิดให้เข้ามาเยี่ยมชมได้ พอมีคนมาแล้วเอาภาพไปลงก็ตามกันมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้มากันเยอะมาก เลยคิดว่าทำแบบเดิมคงไม่ได้แล้ว เพราะบางคนมาเที่ยวก็คาดหวังมากขึ้น จึงเริ่มเปิดเป็นร้านอาหาร บ้านพัก
คุณลุงบอกว่าไม่ถนัดเรื่องบริการ แต่เท่าที่เราได้สัมผัสคุณลุงทำได้ดีในแบบของคุณลุงค่ะ มีความเป็นกันเองเข้าถึงนักท่องเที่ยว คอยมองทุกกลุ่มที่เข้ามาตลอดแล้วเดินมาพูดคุยสอบถาม “ หนูเอาชามั้ย เดี๋ยวลุงชงให้ กลุ่มนั้นสั่งอะไรกันหรือยัง เอาเมนูไปดูแล้วสั่งตรงนี้น่ะ” อารมณ์เหมือนมีญาติผู้ใหญ่เข้ามาพูดคุยเมื่อเรากลับมาเยี่ยมบ้าน
เรามาถึงไร่ลุงเดชประมาณ 10 โมงกว่า เก็บของเข้าที่พัก จองบ้านแบบเอเฟรมไว้ราคาหลังละ 500 บาท บ้านแบบนี้มีอยู่ 2 หลัง ติดกับไร่ชาและจะแยกออกมาจากร้านอาหารจะเป็นส่วนตัวซักหน่อย ภายในห้องไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากตามสไตล์บ้านพักแบบชาวบ้าน มีเพียงที่นอนผ้าห่ม หน้าต่างเปิดชมวิวได้ อินดี้ที่สุด คือ มีห้องน้ำอยู่ในห้องนอนน้อยๆด้วยไว้ถ่ายหนัก ถ่ายเบา แต่อาบน้ำไม่ได้ต้องไปอาบห้องน้ำรวมข้างนอกซึ่งมีน้ำอุ่นให้
ส่วนบ้านอีกแบบเป็นแบบห้องอยู่ที่เดียวร้านอาหาร มี 4 ห้อง ไม่ได้ถ่ายภาพไว้เพราะมีลูกค้าพักอยู่ เลยนำภาพจากในเพจของไร่ชามาให้ชมหน้าตาของห้องกัน ห้องแบบนี้มีห้องน้ำในตัวเหมือนกัน แต่สามารถอาบน้ำได้
ระเบียงชมวิวของชั้นนี้
ที่พักอีกแบบ คือ เต้นท์ อยู่ชั้นล่างสุดของร้านอาหาร มีเครื่องนอนให้ครบ
หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้วก็มาสั่งอาหารทาน เมนูอาหารมีไม่มากส่วนใหญ่เน้นเมนูง่ายๆ และเมนูที่มีใบชาเป็นส่วนประกอบ มาถึงไร่ชาแล้วก็ต้องลองค่ะ จัดมาก่อนเลยใบชาทอดกรอบ ยำปลากระป๋องใบชา ข้าวไข่เขียว เสิร์ฟมาพร้อมกับชาขาวร้อนๆ ในส่วนของรสชาติอาหาร บอกเลยว่าอร่อยมากโดยเฉพาะเมนูใบชา ใบชาทอดกรอบมีความกรอบมากจิ้มกับน้ำจิ้มบ๊วย กรุบกรอบทานเพลิน ยำปลากระป๋องใบชาแนะนำต้องสั่ง เป็นยำปลกระป๋องใบชาที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยได้กินมาจากหลายที่ รสชาติกลมกล่อมครบทุกรส ติดใจในรสชาติถึงกับต้องสั่งเบิ้ลไปอีกรอบ นั่งทานอาหารไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ อากาศดี๊ ดี เย็นสบาย
ลุงเดชเดินเอากาแฟร้อนแบบไม่ใส่นม ครีม และน้ำตาล มาให้ลองชิมบอกว่ากาแฟที่นี่หอมนะ ลุงทานตอนเช้าวันละแก้วช่วยให้สุขภาพดีมาก แต่เพราะเราเป็นคนไม่ทานกาแฟ แต่พอรับรู้ได้จากกลิ่นว่ารสชาติต้องดีแน่ๆ เลยหยิบขึ้นมาลองจิบนิดนึง อืม หอมและรสเข้มดีจริงๆตามที่ลุงบอกจากนั้นคุณลุงถือเอกสารใบนี้มาอธิบายให้เราฟังว่า ชาแต่ละสายพันธุ์มีสรรพคุณอย่างไร พร้อมทั้งชี้ไปที่ภาพยอดใบชา 3 ใบ แล้วบอกว่ายอดบนสุด เอามาทำชาขาว ข้างล่างคือ ชาเขียว จะเก็บมาพร้อมกันทั้งยอดมี 3 ใบ ถือเป็นความรู้ใหม่ เพราะตอนแรกเราเข้าใจว่า ชาเขียว ชาขาว นั้นคือ คนละสายพันธุ์ และคนละต้นกัน ไร่ชาของคุณลุงจะเน้นปลูกชาเขียว ชาขาว และชาจีน ซึ่งต้นชาเขียว ชาขาว จะอยู่ข้างล่างสุด และชาจีนจะอยู่บนสุด
มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายภาพกับไร่ชาซักหน่อย ไร่ชาจะไม่ได้มีพื้นที่กว้างเหมือนกับไร่ชาที่เคยเจอ แต่ในเรื่องของวิวนั้นถือว่าดีงาม เพราะมีภูเขาของดอยม่อนเงาะ เรียงรายเป็นฉากหลังสลับซับซ้อน ภูเขามีความเขียวขจี บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ ได้ความสดชื่น สบายตาไปเต็มๆ
ตลอดทั้งวันกิจกรรมที่ไร่ชาลุงเดชไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากเดินเล่น นั่งชมวิว นอนบ้าง ถ่ายรูปบ้าง เรียกว่าเป็นการมาพักผ่อนปล่อยใจไปกับธรรมชาติอย่างแท้จริง หากหิวก็เดินมาสั่งอาหารทาน ไม่ต้องไปที่ไหนอยู่นิ่งกับที่ก็ดีเหมือนกัน
พอเริ่มเข้าสู่ช่วงบ่าย แดดร่มขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มบางตาลงจะเหลือแค่คนที่มาพักซึ่งมีไม่กี่คนเท่านั้น ประกอบกับวันที่ไปพัก คือ วันธรรมดา เลยยิ่งเงียบสงบเข้าไปอีก
เข้าสู่เวลาเย็นเริ่มมีแสงของดวงอาทิตย์ส่องมาที่ร้านอาหาร เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก นั่งเงียบๆ ชมวิวพร้อมสั่งอาหารมาทานเคล้าบรรยากาศ เย็นนี้สั่งผัดกระหล่ำปลีน้ำปลา และยำปลากระป๋องทูน่า ซึ่งรสชาติก็อร่อยอีกแล้ว โดยเฉพาะผัดกะหล่ำปลี มีความนำมาผัดกับน้ำปลาจริงๆ ได้กลิ่นหอมของน้ำปลามาก ผักสดและกรอบมาก ฟินไปอีกหนึ่งมื้อ
เวลาค่ำมีดาวให้ชมเต็มฟ้า มาให้เห็นตั้งแต่เวลาทุ่มกว่าๆ
ตอนเช้าตื่นมาชมสายหมอกลอยมาทักทายถึงหน้าบ้านพัก แต่หมอกที่ไร่ชาลุงเดชจะสวยงามในช่วงเวลาประมาณ 8 โมงกว่า แต่ถ้าตื่นมาเช้าประมาณ 6-7 โมง ที่ไร่ชาลุงเดชจะเจอกับภาพหมอกฟุ้งปกคุลมแบบนี้ก่อน บรรยากาศเหมือนฤดูฝน ซึ่งเวลานี้ส่วนใหญ่บางคนจะขึ้นไปชมหมอกที่ดอยม่อนเงาะ และพอซัก 8 โมงกว่า ถ้าใครอยากชมหมอกสวยกับท้องฟ้าใส ก็ให้ลงมาที่ไร่ชาลุงเดช แต่เราเลือกที่จะไม่ไปชมทะเลหมอกบนยอดดอยม่อนเงาะเพราะเคยไปมาแล้ว ครั้งนี้ขออยู่แบบนิ่งๆเน้นพักผ่อนที่ไร่ชา ชมวิวให้ครบทุกบรรยากาศ ทั้งเช้า สาย บ่ายเย็น ซึ่งเราว่าก็ได้ความสวยงามที่แตกต่างกัน
ระหว่างรอแสงอาทิตย์ยามเช้าจะได้เห็นหมอกและวิวภูเขาแบบเคลียร์ๆ ก็นั่งจิบชาคลายหนาว พร้อมสั่งอาหารเช้า ข้าวต้ม ทานกับกระหล่ำปลีผัดน้ำปลาติดใจในรสชาติสั่งมาอีกแล้ว มีความฟินสุดๆ
ประมาณเวลา 8 โมง ภาพที่รอคอยก็มา แสงเริ่มส่องสว่าง ท้องฟ้าเริ่มเปิด หมอกฟุ้งเริ่มเคลื่อนหายไป กลายเป็นปุยหมอกขาวที่แทรกตัวและค่อยเคลื่อนตัวอย่างช้าๆไปตามไหล่เขา
ทุกคนส่งเสียงดีใจ ฟ้าเปิดแล้วหมอกมาแล้ว การขยับตัวเพื่อเริ่มถ่ายภาพและเดินชมวิวจึงเริ่มคึกคักอีกครั้ง
หมอกจะลอยไปมาจนถึงประมาณ 9 โมงเช้า จะเริ่มหายไป เป็นสายหมอกที่ลอยมาจากยอดดอยม่อนเงาะ เรานั่งมองภาพสายหมอกหมอกขาวลอยแทรกตัวอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าอย่างมีความสุข ภาพที่อยากจะได้มาเห็นที่ไร่ชาลุงเดช คือ ภาพแบบนี้สมดั่งตั้งใจแล้ว
พอเริ่มสายสายหมอกหายไป กลายมาเป็นภาพไร่ชาลุงเดชที่คุ้นเคยตา สำหรับที่นี่เรามีความรู้สึกว่าเหมาะมากกับการมาพักอยู่นิ่งๆ แบบสงบ ฟังเสียงธรรมชาติ มีความรู้สึกสบายใจและสุขอย่างบอกไม่ถูก หากมีเวลาอยากให้ลองมานอน พักกินบรรยากาศซัก 1 คืน แล้วจะรู้ว่าไร่ชาลุงเดชไม่ได้มี่ดีแค่จุดแวะเที่ยวบนดอยม่อนเงาะ ที่แค่แวะมาและจากไป
รายละเอียดเพิ่มเติม
ที่อยู่: ตำบล เมืองก๋าย อำเภอแม่แตง เชียงใหม่ 50150
เปิดให้บริการเครื่องดื่มและอาหารตั้งแต่เวลา 7.30 – 18.00 น. ส่วนการเข้าชมไร่ สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งวัน
โทรศัพท์ : 081 163 3765
facebook lungdechteafarm
ที่พัก
บ้านพักแบบเอเฟรม มี 2 หลัง พักได้ 2 ท่าน ไม่มีห้องน้ำในตัว
บ้านพักแบบเรือนแถวมี 2 แบบ พักได้ 4 ท่าน , พักได้ 2 ท่าน
ห้องพักแบบเรือนแถว มีห้องน้ำในตัวอาบน้ำได้
เต็นท์พร้อมเครื่องนอน หลังละ 250 บาท พักได้ 2 ท่าน
หมายเหตุ : ราคาค่าที่พักทุกแบบ ไม่รวมอาหาร
การเดินทางไปไร่ชาลุงเดช
โดยรถส่วนตัว
ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 67 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ใช้เส้นทาง 107 เชียงใหม่-แม่แตง ถึงตลาดแม่มาลัยให้เลี้ยวซ้ายตามเส้นทาง 1095 แม่มาลัย-ปาย ประมาณ 12 กิโลเมตร จะพบทางแยกขึ้นโครงการหลวงม่อนเงาะทางขวามือ ตรงข้ามวัดสบเปิงเลี้ยวเข้าไปบริเวณแยกนั้น ขับไปเรื่อยๆ ผ่านแยกทางขึ้นโครงหลวงม่อนเงาะ ให้ขับผ่านไปอีก 4 กิโลเมตร จะถึงไร่ชาลุงเดช เส้นทางนี้รถทุกชนิดสามารถสัญจรได้ เป็นถนนลาดยางตลอดเส้นทาง แต่ควรขับด้วยความระมัดระวัง เพราะบางช่วงเป็นทางโค้งแคบและลาดชัน
เดินทางแบบไม่มีรถส่วนตัว
หากเริ่มจากตัวเมืองเชียงใหม่ มานั่งรถตู้ที่สถานีขนส่งอาเขตเก่า สายเชียงใหม่-ปาย (สายเดียวกับที่นั่งไปปายนั้นแหละ) บอกคนขับลงสบเปิง ให้เลยวัดสบเปิงมานิดนึง มองทางขวาจะเห็นทางแยกไปโครงการหลวงม่อนเงาะ มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงแยก ให้ลงตรงนี้ จากนั้นแจ้งให้รถจากไร่ลุงเดชชามารับได้ (ต้องแจ้งล่วงหน้าก่อนเดินทาง) ระยะเวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่มาสบเปิงประมาณ 1 ชั่วโมง จากบริเวณทางแยกขึ้นไปไร่ชาลุงเดช 30 นาที