ดอยผาหมี เชียงราย ตามรอยพ่อ ด้วยความคิดถึง
ภาพถ่ายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงม้าไปตามไหล่เขาสูง เพื่อไปเยี่ยมเยือนช่วยเหลือราษฎรในถิ่นธุรกันดาร โดยมีขบวนของชาวบ้านรับเสด็จและประคองพระองค์ไว้ ทุกครั้งที่ได้เห็นภาพนี้ ฉันมีความรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงยอมลำบากพระวรกายเสด็จพระราชดำเนินไปช่วยเหลือราษฎรทุกหนแห่งโดยไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เพียงแค่อยากให้ราษฏรของพระองค์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อพิจารณาจากในภาพแล้ว รอบด้านเป็นภูเขาสูง ดูสภาพแห้งแล้ง มีหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเพียงไม่กี่หลังคาเรือน ที่แห่งนี้ต้องเป็นถิ่นธุรกันดารมาก รถไม่น่าจะเข้าถึงได้ นอกจากเดินด้วยเท้าเท่านั้น ฉันอยากรู้อยู่เสมอว่า ภาพนี้คือที่แห่งไหน อยากไปเห็นภาพในปัจจุบันว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ถึงแม้จะมีคำตอบที่ชัดเจนในใจอยู่แล้วว่า ทุกวันนี้คงต้องสวยงาม เจริญแล้วแน่ ฉันเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้เห็นภาพในอดีตผ่านตากันมาบ้าง แต่อาจไม่รู้จักสถานที่ในภาพนี้ว่าคือ ที่ใดและมีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าประทับใจมากเพียงใด ฉันจะพาไปรู้จักภาพปัจจุบันของที่นี่ ดอยผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
หลังจากที่นำภาพนี้ให้คนใกล้ชิดดู บอกว่าจะไปดอยผาหมีตามรอยภาพประทับใจ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คงไกลและเดินทางลำบากแน่ ฉันหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า นั่นคือภาพในอดีตแต่ในปัจจุบันนี้เจริญแล้ว เดินทางสะดวก ถนนลาดยางอย่างดี ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีจากตัวเมืองแม่สาย และเพียงแค่ 1 ชั่วโมงจากตัวเมืองเชียงราย ง่ายและใกล้จนคิดว่านี่คือ การมาเที่ยวดอยเหรอ เพราะปกติเวลาไปดอยไหน จะเดินทางไม่เคยต่ำกว่า 1 ชั่วโมง เส้นทางไปยังดอยผาหมีนั้นร่มรื่น เขียวขจี มีโค้งบ้าง แต่ต้องเรียกได้ว่าระยะทางเป็นโค้งในระดับอนุบาล อาจจะเพิ่มขึ้นมาเป็นระดับประถมเมื่อเริ่มเข้าตัวหมู่บ้าน และระดับมัธยมเมื่อขึ้นไปยังยอดดอยสูงสุด เพราะทางจะค่อนข้างแคบและมีช่วงจังหวะโค้งหักศอก สำหรับใครที่ไม่มีรถส่วนตัวบางครั้งการเดินทางขึ้นดอยที่ไม่ใช่ดอยฮิตอาจไม่ง่ายนัก ส่วนใหญ่จะไม่มีรถโดยสารให้บริการ หรือต้องรอรถตามรอบซึ่งบางแห่งมีวันละรอบสองรอบเท่านั้น หรืออาจต้องเหมารถขึ้นไปซึ่งราคาอาจแพง แต่ถ้ามาเที่ยวดอยผาหมี ติดต่อรถที่พักให้มารับจุดนัดพบเริ่มต้น ที่ บ ข ส แม่สาย คิดค่าบริการเที่ยวละ 100 บาทเท่านั้น มาคนเดียวก็มารับ หรือจะว่าจ้างรถโดยสาร รถมอเตอร์ไซต์มาส่งก็ได้ จากบ ข ส แม่สายไปดอยผาหมีใกล้มาก เที่ยวดอยมาเยอะเกือบทั่วประเทศ บอกเลยว่าการมาเที่ยวดอยผาหมีเที่ยวง่ายที่สุดกว่าดอยไหน สะดวกมากจริง ๆ
เมื่อเริ่มเข้ามาสู่ตัวหมู่บ้าน จะเริ่มรู้สึกถึงความเป็นชุมชน บ้านผาหมีเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีชาวบ้านอาศัยประมาณ 300 กว่าครัวเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาชนเผ่าอาข่า ในปัจจุบันบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ผสมปูนกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ตั้งเรียงรายริมถนนไปตามไหล่เขา ความงดงามของดอยผาหมีที่ฉันรู้สึกชอบ คือ เป็นดอยที่มีภูเขาเขียวขจี ล้อมรอบแบบ 360 องศา ไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใดของหมู่บ้าน จะเห็นภูเขาที่มีรูปทรงสวยงามตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเสมอ เป็นหมู่บ้านที่มีทัศนียภาพที่ดีมาก อากาศสดชื่น เย็นสบาย บรรยากาศค่อนข้างสงบผู้คนไม่พลุกพล่าน
ป้ายชื่อซอย ที่มีอยู่ตลอดทั่วหมู่บ้าน เป็นดอยเพียงแห่งเดียวที่ฉันเห็นมีป้ายซอยยาวไปตลอดสองข้างทาง
ย้อนไปเมื่อในอดีตก่อนจะเป็นหมู่บ้านผาหมีที่มีถนนหนทางเข้าถึง ชาวบ้านในพื้นที่ต้องอยู่อย่างยากลำบาก และหวาดผวา เพราะหมู่บ้านอยู่ติดชายแดนท่ามกลางเสียงปืนและเสียงสู้รบของกองกำลังพม่ากับชนกุล่มน้อย หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทราบจึงมีความเป็นห่วงราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ อาจเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายและการแพร่ระบาดของยาเสพติด แถมสภาพหมู่บ้านอยู่บนภูเขาสูง ธุรกันดาร การเดินทางยากลำบาก ชาวไทยภูเขาไม่มีอาชีพที่แน่นอน พระองค์จึงเสด็จมาพระราชทานความช่วยเหลือ และรับสั่งให้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ที่ปลอดภัยกว่า คือ พื้นที่ของดอยผาหมีในปัจจุบัน พระองค์เสด็จมาที่ดอยผาหมีถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2513 และครั้งต่อไปคือ ปี 2516 และปี 2517 เพื่อติดตามผลว่าชาวบ้านมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้างหลังจากที่ได้พระราชทานความช่วยเหลือ ด้วยสภาพหมู่บ้านเป็นสันเขาสูงการเดินทางลำบาก เมื่อเสด็จลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้วต้องใช้ม้า ลา ล่อ เดินทางต่อเพื่อไปเยี่ยมราษฎร โดยทรงพระราชทานสิ่งของ สัตว์เลี้ยง พันธุ์พืชกาแฟ เพื่อใช้ประกอบอาชีพ หลังจากพระองค์ทรงเสด็จกลับไป ปรากฎว่าชาวบ้านต้องตื่นตระหนก ได้ยินเสียงดังอึกทึกในหมู่บ้านแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ทุกคนเตรียมจอบเสียมเตรียมต่อสู้กับผู้บุกรุก แต่ปรากฏว่าภาพที่ได้เห็น คือ รถแทรกเตอร์ รถขนดินขนทราย ที่กำลังเชื่อมถนนเข้ามาในหมู่บ้าน เมื่อสอบถามไปได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่า ได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือให้มาทำถนนเข้าหมู่บ้าน จะได้ขนส่งผลผลิตไปจำหน่ายยังพื้นที่ต่างๆได้ง่ายและสะดวกขึ้น ชาวบ้านผาหมีทุกคนต่างรู้กันดีว่า หน่วยเหนือที่ว่านั้น คือใคร
ในปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มีการนำแนวพระราชดำริของพระองค์ท่านมาพัฒนาหมู่บ้าน โดยจัดทำแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชน และเป็นการลบภาพเก่าที่คนภายนอกมองว่าหมู่บ้านผาหมีเป็นหมู่บ้านยาเสพติด ให้เป็นที่รู้จักในด้านการท่องเที่ยว ปัจจุบันเส้นทางไปยังดอยผาหมีเป็นถนนลาดยางทั้งหมด มีถนนหนทางสะดวกขึ้น ทำให้ชาวเขาบนดอยผาหมีมีชีวิตไม่ต่างจากคนเมือง ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพหลัก คือ ทำกาแฟจนกลายเป็นแหล่งผลิตกาแฟรายใหญ่และขึ้นชื่อของเชียงราย
ที่พักบนดอยผาหมีในรูปแบบรีสอร์ท ปัจจุบันมีเพียง 2 แห่ง คือ บูซอโฮมสเตย์และภูฟ้าซาเจ๊ะ และมีลานวัฒนธรรมซึ่งเป็นจุดกางเต้นท์ ฉันเลือกพักที่ ภูฟ้าซาเจ๊ะ นอกจากเหตุผลเรื่องความสะดวกในการเดินทางเพราะอยู่ใจกลางชุมชน ใกล้ร้านกาแฟต่างๆ คุณมินท์เจ้าของอัธยาศัยดีให้คำแนะนำเรื่องข้อมูลท่องเที่ยวอย่างดีแล้วนั้น ภูฟ้าซาเจ๊ะ มีเรื่องราวที่ทำให้อยากมาพักมากขึ้น คือ พื้นที่บริเวณนี้ ในอดีตในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยเสด็จพระราชดำเนินมานั่งพักผ่อนพระอิริยาบถจิบน้ำชา ถึงแม้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เพียงแค่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่พระองค์เคยเสด็จทรงงานก็ดีใจมากแล้ว
เจ้าของบ้าน คือ พ่อหลวงซาเจ๊ะ อดีตผู้ใหญ่บ้านผาหมีที่ประคองพระพาหา(ต้นแขน) ขณะทรงนั่งบนหลังม้า ตามภาพที่พวกเราคุ้นตากันเป็นอย่างดี ปัจจุบันบ้านหลังนี้นอกจากจะเป็นบ้านพักภายในครอบครัว ยังมีการปรับปรุงพื้นที่ใหม่ให้เป็นที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ดูแลโดยคุณมินท์ ลูกสาวของพ่อหลวงซาเจ๊ะ พ่อหลวงซาเจ๊ะ คือ บุคคลที่นั่งอยู่ด้านหน้า ซึ่งเคยรับเสด็จและถวายงานอย่างใกล้ชิด เมื่อครั้นเสด็จมาเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านผาหมี อีกท่านคือ ลูกชาย
ห้องพักของ ภูฟ้าซาเจ๊ะ มี 4 ห้อง ฉันพักแบบห้องละ 2 คน ราคาคืนละ 1350 บาท รวมอาหารเช้า ภายในห้องพักสะดวกสบายกว้างขวาง ห้องพักมีระเบียงชมวิว มองเห็นวิวทิวเขาอยู่เบื้องหน้า
นอกจากที่พักแล้ว ภูฟ้าซาเจ๊ะ ยังให้บริการในส่วนของร้านกาแฟ ร้านอาหาร วิวสวยมากเพราะตั้งอยู่บนที่สูง สามารถมองเห็นวิวของหมู่บ้าน รวมทั้งทิวเขาของดอยผาหมี นั่งนิ่งๆ จิบเครื่องดื่ม ทานอาหาร ชมวิว รับอากาศบริสุทธิ์เป็นความสุขแบบไม่ต้องเร่งรีบ สำหรับใครที่ผ่านไปมาในเส้นทางนี้ ถึงแม้ไม่ได้พักก็แวะมานั่งเล่น ทานอาหาร จิบเครื่องดื่มได้
ภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้นที่เสด็จมาเยี่ยมราษฎรที่ดอยผาหมียังคงอยู่ในความทรงจำของพ่อหลวงซาเจ๊ะไม่ลืม ในฐานะผู้ถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิด ภาพเหล่านี้ถูกติดไว้ทั่วผนังบ้าน พ่อหลวงเล่าว่า หลังจากที่พระองค์เสด็จมาพระราชทานความช่วยเหลือ สร้างอาชีพ สร้างถนนหนทาง จนชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระองค์ทรงตรัสกับพ่อหลวงว่า ขอให้เลิกปลูกฝิ่นและให้รักษาป่าไม้ ต้นน้ำ ซึ่งพ่อหลวงและชาวผาหมีทุกคนได้ปฎิบัติตามและรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับพระองค์จวบจนทุกวันนี้
ก่อนนั้นชาวอาข่าบนดอยผาหมีจะเดินทางไปไหน ซื้อของในเมืองก็ยากลำบาก ไม่กล้าลงไป เพราะกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารจะมาจับ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงทรงพระราชทานเหรียญห้อยคอคล้ายเหรียญบาท ด้านหน้าเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ ด้านหลังเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย โดยแต่ละเหรียญมีการสลักหมายเลขกำกับแทนบัตรประจำตัวประชาชนของชาวไทยภูเขาสมัยนั้น ซึ่งพ่อหลวงซาเจ๊ะได้รับเป็นคนแรก เหรียญดังกล่าวใช้แสดงตน เพื่อให้รู้ว่า คือ พสกนิกรของพระองค์ หลังจากมีเหรียญนี้สามารถเดินทางไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ถึงแม้จะมีการทำบัตรประชาชนให้อย่างเป็นทางการแล้ว แต่เหรียญคือ คุณค่าทางจิตใจ เป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้านดอยผาหมี ฉันแค่ได้ยืนมองภาพถ่ายยังตื้นตัน ยังปลื้มใจแทน รู้สึกว่าชาวบ้านโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสได้รับพระราชทานเหรียญ ฉันรู้สึกได้ถึงความรักและความห่วงใยของพระองค์ที่ถูกส่งผ่านมาอยู่ในเหรียญนี้
ภาพทรงนั่งจิบชาที่พ่อหลวงรินให้ดื่ม เด็กน้อยข้างหลังภาพ คือ ลูกของพ่อหลวงกำลังวิ่งเล่นมุดไปมาใต้โต๊ะ แต่ทรงไม่ถือพระองค์แต่อย่างใด
พื้นที่ตรงนี้ ก็คือ จุดที่พระองค์ทรงประทับจิบชา บนผนังมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ประดับไว้เช่นกัน บ้านไม้เรียบง่าย คือ พื้นที่แห่งความทรงจำอันยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินได้เคยเสด็จมานั่งพักอย่างไม่ถือพระองค์ บ้านหลังนี้ยังคงใช้เป็นบ้านที่อาศัยของครอบครัวพ่อหลวงในปัจจุบัน
จากร้านกาแฟ ฉันขึ้นไปยังจุดชมวิวบนระเบียงดาดฟ้า มองเห็นทิวเขาทอดยาว ภูเขาด้านข้างลักษณะรูปร่างคล้ายหมีนอนคว่ำ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ดอยผาหมี รวมทั้งในอดีตบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของหมี จนเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปหมีก็หายไปในที่สุด ถึงแม้จะเป็นช่วงดูหนาวแต่ภูเขายังมีความเขียวขจีไม่มีร่องรอยของความแห้งแล้งเหลืออยู่เลย ช่วงวันที่เดินทางฟ้าจะครึ้มๆ ซักหน่อย ไม่ค่อยมีแสงแดดจากดวงอาทิตย์ บรรยากาศคล้ายมาเที่ยวในฤดูฝน รู้สึกสดชื่นมาก ระหว่างนั้นคุณมินท์เดินมาคุยด้วยเล่าว่าเมื่อก่อนพื้นที่ของดอยผาหมีแห้งแล้งมาก มองไปทางไหนก็มีแต่หญ้าแห้ง ภูเขาหัวโล้นจนพระองค์เสด็จมา พื้นที่แห้งแล้งก็เปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวอุดมสมบูรณ์แบบที่เห็นในปัจจุบัน
จากนั้นก็ชี้ไปตรงลานสนามฟุตบอล ตรงนั้นคือ จุดจอดเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นก็ทรงขี่ม้าที่ชาวบ้านนำมารับ เสด็จไปต่อ ถนนที่ราดยางในปัจจุบัน ก็คือเส้นทางที่ทรงเคยเสด็จผ่าน
แต่ครั้งแรกที่ทรงเสด็จมาบ้านผาหมี เฮลิคอปเตอร์ของพระองค์ลงจอดตรงสันเขาตรงนู้น ที่มองเห็นอยู่ไกลๆ หลังบ้านคุณมินท์ ซึ่งหลังภูเขาคือ ประเทศพม่า เรียกได้ว่า บ้านผาหมีนั้น อยู่ติดกับเส้นชายแดนแบ่งเขตมาก
ฉันนำภาพถ่ายที่ได้ติดตัวมาเทียบเคียงกับสถานที่ด้วย จะเห็นว่าภาพในอดีตกับภาพปัจจุบันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภาพนี้คุณมินท์บอกว่า เป็นภาพที่เสด็จพระราชดำเนินกลับไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์
ดอยผาหมี ถือเป็นต้นกำเนิดกาแฟต้นแรกของประเทศไทย ที่ทรงพระราชทานให้กับขาวเขาปลูกแทนการปลูกฝิ่น โดยต้นกาแฟที่ปลูกครั้งแรก คือ พันธุ์โรบัสต้า ต่อมาทรงเห็นว่าลักษณะของต้นกาแฟไม่เหมาะกับพื้นที่เชิงเขาสูง จึงพระราชทานพันธุ์อาราบิก้า ให้ปลูกแทน จนปัจจุบันดอยผาหมี เป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ใหญ่และมีชื่อเสียงอันดับต้นของประเทศไทย เพราะฉะนั้นมาถึงแหล่งกาแฟแล้วก็ต้องลองจิบกาแฟ ร้านกาแฟบนดอยผาหมีมีประมาณ 4 ร้าน แต่ละร้านต้องบอกว่าบรรยากาศสุดยอด เพราะเห็นวิวภูเขารายล้อมทุกร้าน เพราะตามที่บอกว่า ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนบนดอยผาหมีจะได้เห็นวิวภูเขาเสมอ จากที่พัก ภูฟ้าซาเจ๊ะ เดินลงมานิดเดียวเป็นที่ตั้งของ กาแฟดอยผาหมี เพราะตั้งอยู่ติดกัน ร้านนี้ คือ ร้านกาแฟร้านแรกที่เปิดและสร้างชื่อให้ดอยผาหมี ใครที่ผ่านไปในเส้นทางนี้ มักจะแวะจิบเครื่องดื่มชมวิวกันตลอด เพราะเส้นทางดอยผาหมี คือเส้นทางที่เชื่อมไปยังดอยตุงและดอยช้างมูบ แต่เส้นทางนี้จะชันและแคบซักหน่อย
ร้านกาแฟมี 2 ชั้น มีพื้นที่นั่งทั้งชั้นล่างและชั้นสอง วิวของร้านสามารถมองเห็นภูเขาได้อย่างชัดเจน
สั่งกาแฟ น้ำเสาวรส และสลัดผักมาทาน
ภายในร้านยังมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ดอยผาหมี ใต้ภาพมีวันที่กำกับ รวมถึง คำบรรยายว่า แต่ละภาพพระองค์เสด็จมาทำอะไรบ้าง
ภาพนี้ทรงเสด็จทรงเสด็จมาทอดพระเนตรสุกรที่ได้ทรงพระราชทานไว้ คือ พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง ถึงแม้จะพระราชทานความช่วยเหลือแล้ว แต่ยังคงเสด็จมาติดตามความเป็นอยู่ของชาวบ้านเสมอ
ไม่ใช่เพียงภาพของในหลวง รัชกาลที่ 9 แต่ยังมีภาพของสมเด็จพระราชินีที่ตามเสด็จ และทรงมาสอนหนังสือให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมป์ 5 โรงเรียนประจำหมู่บ้านด้วย ตอนนั้นทราบว่าพระองค์ยังทรงเจ็บขายังต้องใช้ไม้เท้า แต่ก็ยังคงเสด็จพระราชดำเนินมาพร้อมกัน
จากร้านกาแฟดอยผาหมีเดินเรียบถนนมาอีกนิดเดียว ก็จะเจอกับร้านกาแฟ 71 coffee view ร้านกาแฟส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ติดกัน ซึ่งหากเลือกพักที่ภูฟ้าซาเจ๊ะ จะค่อนข้างสะดวกในการเดินไปยังร้านต่างๆ ได้โดยง่าย เพราะตั้งอยู่ในย่านชุมชน ที่ตั้งของร้านกาแฟร้านนี้ ในอดีตเคยเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ของในหลวงรัชกาลที่ 9
บรรยากาศภายในร้านวิวดี๊ ดี อีกแล้ว ซึ่งจริงๆ วิวก็จะเหมือนกันทุกร้าน ต่างกันแค่ระดับการมองเห็น เริ่มจากจากร้านกาแฟของภูฟ้าซาเจ๊ะ มองเห็นวิวในมุมสูงที่สุด ต่อมาก็จะเป็นกาแฟดอยผาหมี และมาถึง 71 coffee view
โอโซน ผาหมี ร้านนี้จะตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับ 71 coffee view จะเป็นวิวภูเขาอีกวิวหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศดีมากเช่นกัน
และที่สำคัญร้านนี้ชงเครื่องดื่มและมีอาหารพื้นถิ่นที่รสชาติอร่อยมาก แนะนำว่าต้องแวะมาทานร้านนี้ ซึ่งเมนูส่วนใหญ่ คือ อาหารแบบชนเผ่าแบบยูนานที่ดูจากชื่อ อาจไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ แต่ถ้าได้ลองทานรับรองจะติดใจในรสชาติ อร่อยทุกเมนู แถมราคาเป็นมิตรน่าคบหา จานละ 80-100 บาท ฉันสั่งไปหลายอย่างมาก เรียกว่ามาทานรอบแรกติดใจในรสชาติ ถึงกับต้องมาทานรอบที่สองอีกครั้งในวันถัดไป ลองทานเกือบทุกเมนู อาหารเสริฟ์มาในขันโตก ในภาพนี้ มี ปลาส้มดอย ตำเนื้อแดดเดียวหมู น้ำพริกถั่วดิน ต้มผักดอย ยำมันฝรั่ง แต่ก่อนหน้านี้สั่งปลาสมุนไพร และไส้อั่วยูนาน
รากซู เป็นผักชนิดหนึ่งพบมากทางตอนเหนือของพม่า และตอนใต้ของจีนเรื่อยมาจนถึงตอนเหนือของไทยซึ่งสามารถหาซื้อได้ในตลาดของภาคเหนือบางจังหวัดเท่านั้น เช่น เชียงใหม่ และเชียงราย โดยมักนิยมใส่ลงไปในอาหารเพื่อให้รสชาติกลมกล่มขึ้น ซึ่งทางร้านจะใช้ใส่ในเมนูอาหารทุกจาน หรือจะทานเป็นผักกับแกล้มก็ได้ ฉันขอทางร้านมาทานเป็นพิเศษ เพราะอยากรู้ว่ารสชาติสดจะเป็นอย่างไร รสชาติคล้ายกับการทานมันแกว จะกรุบๆ หน่อย อร่อยดี
ส่วนเครื่องดื่มก็รสชาติดีเช่นกัน ทั้งกาแฟ โกโก้ โดยเฉพาะน้ำเสาวรส เป็นน้ำเสาวรสแท้ที่คั้นมาจากผลสดๆ ไม่ใช่น้ำหวานปรุงกลิ่นเสาวรสและเติมเมล็ดเสาวรสลงไปเหมือนที่เคยทาน คือ ดีงามมากรสชาติเข้มข้นกำลังดีไม่หวานและเปรี้ยวจนเกินไป แก้วใหญ่บะเร้อ แต่ขายราคาแค่ 40 บาทเท่านั้น ถูกจริงอะไรจริง
ทางร้านมีบริการให้แต่งชุดชนเผ่าราคาชุดละ 100 บาท เป็นชุดอาข่าแบบจีนสิบสองปันนา สีสันสวยงาม และดูแปลกตา ใส่สิค่ะจะรออะไร โพสต์ท่าถ่ายรูปกับสนุกกันไปเลย
แถมพรอพต่างๆ จัดมาเต็มมากทั้งตระกร้า และปี่น้ำเต้า โคมไฟ
ติดกับร้านกาแฟโอโซน คือ โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมป์ 5 โรงเรียนประจำบ้านผาหมี อีกหนึ่งน้ำพระทัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาและภาษาไทยที่จะต้องใช้สื่อสารกับคนพื้นราบในอนาคต จึงได้จัดตั้งโรงเรียนพ่อหลวงอุปถัมภ์ขึ้น โดยพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนสองหมื่นบาทให้ดำเนินก่อสร้างขึ้นเพื่อให้เด็กๆได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนในระดับอนุบาลถึงประถม 6 โรงเรียนแห่งนี้ถือว่าได้ให้โอกาสในการศึกษาแก่ลูกหลานของชาวบ้านผาหมีให้อ่านออกเขียนได้ และมีความรู้ไปประกอบอาชีพได้
ช่วงเย็นเราอาศัยมอเตอร์ไซต์จากภูฟ้าซาเจ๊ะ ขึ้นไปยังลานวัฒนธรรมซึ่งเป็นจุดชมวิวสูงสุด ถนนหนทางไปยังยอดบนสุด มันก็จะแคบและคดเคี้ยวหน่อยๆ กว่าถนนข้างล่าง มาถึงลานกางเต้นท์ ซึ่งตรงจุดนี้นอกจากเป็นที่ตั้งของลานวัฒนธรรมและจุดชมวิวสูงสุดแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของบูซอ โฮมสเตย์ ที่พักอีกหนึ่งแห่งบนดอยผาหมี บรรยากาศของที่พัก ถือว่าดีมากเช่นกัน มองเห็นวิวของดอยผาหมี ได้ในมุมสูงที่สุดคล้าบกับวิวของภูฟ้าซาเจ๊ะ แต่จะอยู่ในมุมที่สูงกว่า
ลานวัฒนธรรมของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดกางเต็นท์ และมีชิงช้าแบบอาข่าให้โล้ด้วย
ลานวัฒนธรรมมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เคยเสด็จมาเยือน ภาพเหล่านี้ คือ สมบัติอันล้ำค่าของหมูบ้าน สถานที่ทุกแห่งบนดอยผาหมี ล้วนแต่มีภาพชุดนี้เหมือนกันแทบทุกแห่ง ไม่ว่าฉันจะเดินไปยังจุดใดก็จะได้เห็นภาพของพระองค์ท่าน รู้สึกอุ่นใจเหมือนพระองค์ยังทรงอยู่ไม่ได้เสด็จไปไหน ยังแอบอิจฉาชาวบ้านในสมัยนั้นที่ได้มีโอกาสรับเสด็จอย่างใกล้ชิดถือเป็นมงคลสูงสุดในชีวิต
เดินเล่นจนถึงเวลาเย็น ก็กลับไปพักผ่อนยังที่พัก ภูฟ้าซาเจ๊ะ พร้อมทั้งรับประทานอาหารแบบชนเผ่าอีกแล้ว จริงๆ ฉันเป็นคนชอบทานอาหารแนวนี้มาก เลยจัดชุดขันโตกชนเผ่าขนาดกลางราคา 1000 บาท มารับประทาน อาหารในโตกมีประมาณ 6 อย่าง ได้แก่ น้ำพริกถั่วลิสง ยำผักยูนาน ไก่ทอดเกลือ ปลาส้มดอย ปลาสมุนไพร ต้มผักดอย พร้อมข้าวสวย
หลับใหลไปกับเสียงฝนตกตลอดทั้งคืน ทั้งที่เป็นเดือนธันวาคมฤดูหนาวแท้ๆ แอบคิดว่าโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่เจอฝนพรุ่งนี้เพลนที่จะขึ้นไปยังจุดชมวิวสูงสุดที่ลานวัฒนธรรม ชมพระอาทิตย์ขึ้นคงหมดสิทธิ์แน่ แต่แล้วด้วยอานุภาพแห่งฝน ทำให้เกิดสายหมอกฝนอย่างเยอะในตอนเช้า เป็นภาพที่สวยงามมาก ซึ่งถ้าฝนไม่ตกคงไม่ได้เห็นภาพนี้ ซึ่งคุณมินท์ก็บอกว่า ฤดูฝนที่นี่ก็สวยหมอกจะเยอะกว่าฤดูหนาว ลอยไปลอยมาตลอดทั้งวัน นี่คงเป็นบรรยากาศในฤดูฝนสิน่ะ
ขึ้นไปชมวิวบนระเบียงดาดฟ้า
หลังจากฝนหยุดก็เดินลงไปเดินเล่นตามถนน เก็บภาพไปเรื่อยๆ มาหยุดอยู่ที่ร้าน 71 coffee หมอกกำลังสวยเลยทีเดียว
นอกจากนี้ดอยผาหมี ยังมีจุดท่องเที่ยว อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ คือ จุดชมวิวดอยผาหมี ในวันที่อากาศแจ่มใส สามารถมองเห็นสายหมอกบางในยามเช้า และวิวของหมู่บ้านผาหมี และภูเขาสวยๆ ได้แบบพาโนรามา เส้นทางจะอยู่ในช่วงดอยผาหมีที่ไปยังดอยผาฮี้
“ ไม่มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ไม่มีดอยผาหมี ” คำกล่าวของพ่อหลวงซาเจ๊ะที่ฉันได้ยินท่านพูดประโยคนี้ผ่านสื่อต่างๆที่มาสัมภาษณ์เสมอ สำหรับฉันในฐานะนักท่องเที่ยว ไม่มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ไม่มีดอยผาหมี แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของเชียงราย เป็นดอยที่สงบ มีวิวทิวทัศน์ของภูเขาที่สวยงามแปลกตาล้อมรอบ แถมเดินทางไปเที่ยวง่ายที่สุด มีผู้คนที่เป็นมิตรอบอุ่นใจที่ได้มาเยือน ที่สำคัญด้วยความประทับใจทั้งหมดนี้ ฉันสัญญาว่าจะกลับไปอีกหลายครั้งแน่นอน
รายละเอียดเพิ่มเติม
ภูฟ้าซาเจ๊ะ โทร 080 491 2999 https://www.facebook.com/phuphamee
มีทั้งหมด 4 ห้อง รายการราคาตามนี้นะค่ะ (ห้องสำหรับ 2 – 4 ท่าน มี 2 ห้อง)
พัก 2 ท่าน ราคา 1,350 บาท พัก 3 ท่าน ราคา 1,650 บาท พัก 4 ท่าน ราคา 1,950 บาท
(ห้องสำหรับ 2 – 6 ท่าน มี 1 ห้อง) พัก 2 ท่าน ราคา 1,500 บาท พัก 3 ท่าน ราคา 1,800 บาท พัก 4 ท่าน ราคา 2,100 บาท พัก 5 ท่าน ราคา 2,300 บาท พัก 6 ท่าน ราคา 2,500 บาท (ห้องพิเศษ มีห้องแต่งตัว ระเบียงส่วนตัว )
สำหรับ 2 – 6 ท่าน มี 1 ห้อง พัก 2 ท่าน ราคา 1,800 บาท พัก 3 ท่าน ราคา 2,100 บาท พัก 4 ท่าน ราคา 2,400 บาท พัก 5 ท่าน ราคา 2,700 บาท พัก 6 ท่าน ราคา 3,000 บาท
*ราคาดังกล่าวรวมอาหารเช้าแล้ว มีห้องน้ำในตัว ฟรีน้ำอุ่น ฟรีน้ำเปล่า & ชาดอย จัดไว้ให้ไม่จำกัด ฟรีไวไฟ มีที่จอดรถ
บูซอ โฮมสเตย์ โทร 0875752234 https://www.facebook.com/Busaw.Homestay
ลานกางเต้นท์ นำเต็นท์มาเองเสียค่าบริการพื้นที่ 200 บาท เช่นเต็นท์ขนาด 2 คนหลังละ 350 บาท เต็นท์ใหญ่ 4 คน หลังละ 450 บาท ติดต่อโทร 091 141 4166 089 449 7942 หรือ ติดต่อไปยังบูซอโฮมสเตย์
การเดินทางไปดอยผาหมี
โดยรถส่วนตัว
จะตัวเมืองเชียงรายมุ่งหน้าไปยังอำเภอแม่สาย ผ่านร้านจันกะผัก ซอยเข้าดอยผาหมีจะอยู่เลยร้านมานิดนึง มีป้ายติดไว้ด้านหน้าซอยชัดเจน ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงราย 1 ชั่วโมง
โดยเครื่องบิน
บินตรงมาลงเชียงราย หากไม่มีรถส่วนตัวจากสนามบินนั่งรถแท็กซี่สนามบินไปลง บ ข ส เชียงราย จากนั้นต่อรถตู้เชียงราย แม่จัน แม่สาย ราคาคนละ 50 บาท ไปลงสถานีขนส่งแม่สาย หากพักที่ภูฟ้าซาเจ๊ะ ทางที่พักมีรถมารับถึง บ ข ส แม่สาย โดยคิดคนละ 100 บาท /เที่ยว แต่หากพักบูซอ ต้องลองติดต่อสอบถามว่า ทางที่พักมีบริการรถรับส่งหรือไม่ แต่มีมอเตอร์ไซต์รับจ้างรับส่งดอยผาหมีราคาเที่ยวละ 150 บาท/คน เบอร์มอเตอร์ไซต์ โทร 085 716 0663
โดยรถประจำทาง
จากกรุงเทพนั่งรถทัวร์กรุงเทพ-แม่สาย ทั้งของบริษัทขนส่ง และสมบัติทัวร์ เมื่อมาถึงบ ข ส แม่สาย ติดต่อให้รถมารับ ตามที่แจ้งไว้ข้างบน จากขนส่งแม่สายใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 10 นาที