เที่ยวสังคม บ้านม่วง หนองคาย สุดฟิน ริมฝั่งโขง
อำเภอสังคม อีกหนึ่งอำเภอริมโขงของหนองคาย ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความสวยงามของธรรมชาติและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ยังคงความเรียบง่าย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวหลายจุด ที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จัก คงเป็นจุดชมวิว skywalk วัดผาตากเสื้อ ทะเลหมอกภูห้วยอีสัน ความอัศจรรย์ของถ้ำพญานาคที่รอให้หลายคนมาเยือน เมื่อเราเข้าสู่ตัวอำเภอสังคมไปจนถึงบ้านม่วงซึ่งเป็นตำบลท่องเที่ยวขึ้นชื่อของสังคม ตลอดเส้นทางจะมองเห็นความสวยงามถนนเรียบโขงเป็นภาพเกาะแก่ง สันทรายโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ซึ่งจะเห็นได้ชัดขึ้นในหน้าแล้งในเวลาที่แม่น้ำโขงลดระดับลง เป็นความงดงามของธรรมชาติสร้างสรรค์ที่เราจะได้พบเจอเมื่อมาเทียวที่นี่
วันแรก
จุดชมวิว skywalk วัดผาตากเสื้อ
เริ่มต้นกันแต่เช้ากับจุดหมายแรก วัดผาตากเสื้อ เราเลือกค้างคืนในตัวเมืองหนองคาย 1 คืน และออกจากที่พักแต่เช้าเพื่อตั้งใจเก็บบรรยากาศในยามเช้า จากตัวเมืองใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึง วัดผาตากเสื้อ เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง วัดแห่งนี้ไม่ได้เป็นแต่สถานที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความงดงามตามธรรมชาติ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมความงามอย่างไม่ขาดสาย ภายในวัดมองเห็นวิวของแม่น้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง โดยได้จัดทำ Skywalk ริมหน้าผาเป็นทางเดินกระจกใสรูปวงกลมสำหรับชมวิว หากมาเที่ยวในช่วงเช้าอาจมีโอกาสได้เห็นสายหมอกบางที่ลอยเหนือแม่น้ำโขงอีกด้วย
ทางไปวัดผาตากเสื้อ จะต้องขับรถขึ้นเขาแต่ไม่ชันมาก เป็นถนนราดยางตลอดสายขับง่ายๆสบายๆ ระหว่างทางจะมองเห็นลำน้ำโขง และต้นไม้มากมาย เมื่อมาถึงตัววัดมีลานจอดรถสะดวกสบาย ภายในวัดบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ มีจุดไหว้พระอยู่ด้านหน้าทางเข้า 1 จุด และ เดินขึ้นไปด้านบนจะเป็นโบสถ์อีก 1 จุด ซึ่งด้านหน้ามีบันไดพญานาคทอดยาวไปจนถึงตัวโบสถ์ ภายในประดิษฐานองค์พระประธานของวัด
ไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวสนใจ คือ Skywalk มองเห็นแม่น้ำโขงกั้นอยู่เบื้องล่างกั้นระหว่างประเทศไทยและลาว เป็นพื้นกระจกที่ยื่นออกมาจากหน้าผา ให้นักท่องเที่ยวได้เดินออกไปสัมผัสกับบรรยากาศบนกระจกใสแบบตื่นเต้น โดยเฉพาะในเวลาเช้าอาจมีโอกาสได้เห็นสายหมอกลอยคลอเคลียอยู่เหนือน้ำโขง
นอกจากสกายวอล์คแล้ว วัดผาตากเสื้อยังมีอีกจุดชมวิวอีกหนึ่งจุดตั้งอยู่ใกล้กัน เป็นชะง่อนผายื่นออกไป ให้นักท่องเที่ยวได้เก็บภาพมุมสูงที่มีภาพเบื้องหลังเป็นแม่น้ำโขงและธรรมชาติโดยรอบของทั้งสองฝั่ง
ตามรอยเส้นทางพญานาค ถ้ำดินเพียง
จุดหมายต่อไป เราไปที่ ถ้ำดินเพียง ซึ่งห่างจากสกายวอล์ควัดผาตากเสื้อ เพียง 5 กิโลเมตร เป็นสถานที่ที่มีเรื่องเล่าและตำนานเกี่ยวกับเรื่องพญานาค ภายในถ้ำมีน้ำชื้นอยู่ตลอดเวลาและมีลักษณะเป็นโพรงลอดผ่านเข้าไปได้ อีกทั้งยังมีจุดที่เชื่อมต่อกับลำน้ำโขง ชาวบ้านเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้เคยเป็นสายทางที่พญานาคใช้เดินทางไปสู่เมืองบาดาล โดยภายในถ้ำมีการติดไฟนีออนสีต่างๆ กระทบกับช่องและโพรงภายในถ้ำยิ่งทำให้ดูมีความสวยงามและอัศจรรย์ยิ่งขึ้น ถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อปี พ.ศ. 2530 จากชาวบ้าน ลุงคำสิงห์ เกศศิริ เจ้าของพื้นที่ ซึ่งต่อมาได้มอบที่ดินสร้างวัดจนกลายเป็นวัดถ้ำศรีมงคล และพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อเรื่องความน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ
สำหรับการเข้าไปชม ถ้ำดินเพียง ต้องมีไกด์นำทาง ค่านำทางตามศรัทธา มีตู้บริจาคให้หยอดตอนขากลับ ด้านหน้ามีศาลเจ้าพ่อปู่จันทร์นาคราช และเจ้าแม่เกตุนาคราช ให้ได้กราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเข้าถ้ำ ด้านหน้าถ้ำมีติดข้อห้ามและกฎข้อปฏิบิติก่อนเข้าถ้ำ เช่น ห้ามหญิงมีครรภ์ ประจำเดือน และคนเป็นโรคหัวใจ ความดัน ไขข้อเสื่อม เข้าชม เนื่องจากเพดานถ้ำบางช่วงลาดต่ำและมีแอ่งน้ำ และการเดินชมถ้ำต้องถอดรองเท้าเข้าไป และต้องพับกางเกงเล็กน้อยเพราะบางช่วงจะต้องเดินผ่านน้ำประมาณข้อเข่า
ระยะทางจากปากถ้ำไปจนถึงทางออก เป็นระยะทางสั้นๆ ประมาณ 300 เมตร โดยทางเข้าออกคนละทางกัน คือเข้าทางนึงจะไปออกอีกทางนึง ใช้เวลาเที่ยวในถ้ำแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทางเดินเข้าถ้ำก็จะเป็นโพรงเล็กๆ ทางช่วงแรกต้องย่อตัวหน่อย เพราะเพดานถ้ำค่อนข้างต่ำ จากภาพเส้นทางดูเหมือนจะยากลำบากแต่เป็นแค่งเพียงภาพนะคะ ไปถึงตัวถ้ำจริงๆ คือ เดินไปได้สบายแม่ของน้องที่ไปด้วยอายุ 60 ยังเคยมาตั้งสองรอบ เพราะเป็นเส้นทางเป็นแค่เพียงระยะสั้นเท่านั้น แถมมีไฟส่องสว่างตลอดทาง และมีสัญลักษณ์นำทางอยู่ข้างบนถ้ำอุ่นใจได้
จากปากทางเข้าไม่ถึงสิบก้าว ก็จะเจอกับรูปปั้นพ่อปู่พญานาค พระพุทธรูปนาคปรก เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จุดแรก ที่เราต้องทำความเคารพ ระหว่างนั้นน้องไกด์ที่นำทางมา ก็จะอธิบายเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของถ้ำนี้ตลอด
ภายในเต็มไปด้วยความสวยงามของโขดหิน ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างไว้อย่างน่าทึ่ง ทางเดินภายในถ้ำถึงจะแคบต้องย่อตัว ตะแคงตัวผ่านซอกหินบ้าง แต่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดและมีอากาศถ่ายเทสะดวก ก่อนมาแอบกลัวในความแคบ คิดว่าต้องออกแนผจญภัยเหมือนที่เห็นหลายรีวิวบอกไว้ แต่พอมาด้วยตัวเอง คือ รู้สึกเที่ยวสบายกว่าหลายถ้ำ แถมยังเป็นถ้ำที่แปลกตาจากที่เคยเห็น เพราะที่เคยเที่ยวถ้ำ คือ ห้องโถงขนาดใหญ่มีหินงอกหินย้อย แต่ถ้ำดินเพียงมีลักษณะเป็นโพรงกลมเป็นหลุมคล้ายกับสามพันโบก ซึ่งลักษณะแบบนี้เกิดจากการกัดเซาะของลำน้ำที่ไหลผ่าน ทำให้ในถ้ำนั้น เกิดเป็นเหมือนเสา บางเสามีโค้งว้าวสวยงาม
ยิ่งได้แสงไฟนีออนสีต่างๆที่ติดอยู่ตลอดทางเดินด้วยแล้ว ยิ่งมีความอัศจรรย์ ตามความเชื่อที่ว่าถ้ำแห่งนี้แต่ก่อนเคยอยู่ใต้ลำน้ำโขงมาก่อน เป็นถ้ำพญานาค โดยแบ่งออกเป็น 8 ห้อง บางห้องสามารถสักการะบูชาอธิษฐานขอพรขอโชคลาภได้ แต่ละห้องก็จะมีชื่อเรียก ทั้งห้องเก็บโรงศพของพ่อปู่พญานาค ห้องลูกสาวพญานาค เป็นต้น
เดินย่อๆมาจนถึงจุดไฮไลท์ ตรงนี้เรียกว่าหินหัวช้าง ซึ่งมีความแคบมาก เรียกได้ว่าจะผ่านตรงนี้ไปได้ คือ ต้องนอนราบแล้วคลานผ่านไปเลยทีเดียว น้องไกด์บอกว่า หินนี้จะขยายตามตัวได้เพียงแค่ตั้งจิตอธิษฐาน คนน้ำหนัก 160 กิโล ก็เคยลอดมาแล้ว
มาถึงห้องสุดท้ายมีเจดีย์หินตั้งอยู่ ถัดไปจากห้องนี้ก่อนถึงทางออก มีพระแก้วมรกต พระพุทธรูป รูปปั้นพระเกจิชื่อดัง ประดิษฐานอยู่ด้วย ทางออกของถ้ำปีนบันไดขึ้นไป ก็จะเจอกับลานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ แวะสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล
ถ้ำดินเพียง วัดถ้ำศรีมงคล อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของหนองคายที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ได้อย่างสวยงาม ควบคู่ไปกับตำนานความเชื่อของพญานาคที่เป็นที่นับถือของชาวอีสาน โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 15.30 น.
ทานอาหารกลางวัน ปูเป้เรือนไม้ไทย
ใกล้เที่ยงท้องเริ่มร้อง เมื่อเข้าสู่ตัวอำเภอสังคม จะเริ่มมีความเป็นชุมชนเมือง และมีความคึกคัก ตลอดสองข้างถนนเต็มไปด้วยที่พัก ซึ่งที่พักในตัวอำเภอส่วนใหญ่เป็นที่พักแบบรีสอร์ทบรรยากาศริมโขงค่อนข้างสะดวกสบาย รวมถึงมีร้านอาหารหลายร้าน เราแวะไปทานอาหารกลางวัน ที่ ปูเป้เรือนไม้ไทย ซึ่งที่นี่ให้บริการทั้งที่พักและร้านอาหาร ในส่วนของร้านอาหาร ตั้งอยู่ติดริมโขง บรรยากาศดี ลมพัดเย็นสบาย อาหารเน้นเป็นเมนูปลาน้ำโขง ซึ่งมีให้เลือกหลายเมนู สั่งต้มยำปลาคัง ผัดเผ็ดหมูป่า 2 เมนูนี้รสชาติดีมาก ครบทุกรสมีความจัดจ้านรสชาติอาหารในส่วนของต้มยำ หรือยำ อร่อยมาก ส่วนผัดเผ็ดหมูป่าจะติดหวานไปนิดนึง ปลารากกล้วยทอดกระเทียม ทอดอมน้ำมันไปหน่อยแต่รสชาติโอเค
วัดหายโศก
จากตัวอำเภอสังคม ระหว่างทางเห็นพระองค์ใหญ่สีขาวโดดเด่นสะดุดตา เลยแวะเข้าไปไหว้พระทำบุญสักหน่อย วัดชื่อ วัดหายโศก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงบรรยากาศสวยงาม พระองค์ใหญ่ มีชื่อว่า หลวงพ่อใหญ่หายโศก ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัด
ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐานหลวงพ่อหายโศก หลวงพ่อทองคำหายโศก หลวงพ่อเงินหายโศก ให้กราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ภายในวัดมีการจัดทำจุดชิมวิวริมโขงเป็นสะพานไม้ไผ่ประดับด้วยโมบายสีสันสวยงามสำหรับเดินไปชมวิวอีกด้วย
พักผ่อน แม่โขงริเวอร์วิว
อำเภอสังคมมีจุดท่องเที่ยวยอดฮิต คือ ทะเลหมอกภูห้วยอีสัน ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอบ้านม่วงห่างจากตัวอำเภอสังคมประมาณ 15 กม. สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาชมทะเลหมอก ต้องค้างคืนแล้วไปชมทะเลหมอกในตอนเช้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกพักในตัวอำเภอสังคมเพราะที่พักในรูปแบบของรีสอร์ท ค่อนข้างสะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกครบ เพราะหากเข้าไปยังตำบลบ้านม่วง ที่พักส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบเต้นท์มากกว่า จะมีที่พักแบบบ้านเพียงสองสามแห่ง แต่จะเป็นในรูปแบบบ้านไม้หรือกระท่อมเนื่องจากในตอนเช้าเราไม่อยากขับรถแต่เช้ามืดจากตัวอำเภอ เลยเลือกพักที่บ้านม่วงซึ่งค่อนข้างใกล้กับจุดขึ้นรถชมวิวทะเลหมอกใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 5 นาที โดยเลือกพักที่ แม่โขงริเวอร์วิว ที่พักติดริมโขง มีทั้งแบบเต้นท์และบ้านเป็นหลัง เราจึงเลือกพักที่นี่เพราะอยากนอนบ้านมากกว่า ค่าที่พักในราคาคืนละ 850 บาท ห้องพักอาจไม่ใหม่มาก แต่ว่าครบทั้ง แอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น
แก่งหินพันโขด แสนไคร้
ทางที่พักมีบริการนั่งเรือชมวิว ริมโขงและพาไปเที่ยว แก่งหินพันโขด แสนไคร้ ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวน่าสนใจในบ้านม่วง โดยเริ่มเวลา 16.00 น. ค่าเรือ 350 บาท นั่งได้ไม่เกิน 4 คน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งหากใครไม่ได้พักที่นี่แล้วอยากมาเที่ยวแก่งหินพันโขด ก็สามารถสอบถามเรื่องเรือกับที่พักได้
แก่งหินพันโขด แสนไคร้ แก่งหินกลางลำน้ำโขงที่เมื่อระดับน้ำโขงที่มีระดับต่ำ ทำให้โขดหินโผล่ขึ้นจากแม่น้ำโขง ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่บริเวณกว้างประมาณ 300 เมตร สำหรับชื่อพันโขดแสนไคร้ มีความเป็นมาเนื่องจากในแต่ละโขดหินมีต้นไคร้ขึ้นอยู่โดยทั่วไป จึงได้มีการตั้งชื่อว่า “พันโขดแสนไคร้” ช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับการชมแก่งหิน คือ ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆถึงเวลาเย็น เพราะแดดจะไม่ร้อนมาก
นอกจากแก่งหินแล้ว ยังมีหาดทรายสีน้ำตาลริมโขง ประติมากรรมที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาได้อย่างแปลกตา
ทานอาหารเย็น ต่ายหมายตา
ได้เวลามื้อเย็น เราไปทานกันที่ ต่ายหมายตา ร้านอาหารวิวดี ริมโขง ซึ่งเมนูเน้นเป็นปลาน้ำโขงเช่นกัน มีเมนูให้เลือกมากมาย สั่ง ต้มยำปลาน้ำโขง กุ้งยำตระไคร้ และปลาทอดกระเทียม รสชาติอาหารของร้านนี้ถือว่ากลางๆ ราคาไม่แพง วัตถุดิบที่ใช้อย่างปลาสด แน่นอนมากินถึงริมโขง ไม่สดก็จะไม่ได้แน่นอน
วันที่สอง
ทะเลหมอกภูห้วยอีสัน
เวลา 6 โมงเช้า เราไปยังจุดชมขึ้นรถเพื่อไปชม ทะเลหมอกภูห้วยอีสัน จากที่พักใช้เวลาประมาณ 7 นาที การเดินทางไปชมทะเลหมอกภูห้วยอีสัน ไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวนำรถส่วนตัวขึ้นไป และบนจุดชมวิวไม่อนุญาติให้ค้างคืน แนะนำให้หาที่พัก ในตำบลบ้านม่วง ซึ่งใกล้กับจุดขึ้นรถ หรือจะพักในตัวอำเภอสังคมซึ่งมีที่พักริมโขงสะดวกสบายหลายแห่ง แล้วค่อยเดินทางมายังจุดขึ้นรถในตอนเช้า โดยใช้บริการรถอีแต๋นของชาวบ้านคิวรถอยู่ที่วัดแก้วเสด็จชัยมงคล ด้านหน้าวัดมีป้ายเขียนว่า รถขึ้นจุดชมวิว นักท่องเที่ยวสามารถนำรถไปจอดที่ลานจอดรถ จากนั้นนั่งรถอีแต๋นขึ้นไปค่าบริการคนละ 60 บาท รถมีให้บริการตลอดตั้งแต่ตีห้าจนถึง 8โมงเช้า หรือจนไม่มีคนขึ้นไปอีก
การมาชมทะเลหมอกภูห้วยอีสัน ควรมาตั้งแต่เวลา 6 โมง เพื่อไปให้ถึงจุดชมวิวประมาณ 6.30 น. จะได้ทันพระอาทิตย์ขึ้น เพราะหลังจากเจ็ดโมงไปแล้ว แสงจะเริ่มจ้าโดยจุดชมวิวภูห้วยอีสัน แบ่งเป็น 2 จุด คือ จุดที่ 1 ซึ่งเป็นจุดที่รถอีแต๋นจอดส่ง มีลานชมวิวประมาณ 3 จุด ลดหลั่นกันไป บริเวณนี้จะมีร้านขายเครื่องดื่มเล็กน้อย อย่างเช่น กาแฟ โอวัลติน คัพโจ๊ก มาม่า
จุดที่สอง คือจุดชมวิวสูงสุด จากจุดที่ 1 เดินขึ้นไปประมาณ 200 เมตร จุดนี้จะสามารถมองเห็นวิวได้กว้างและสูงกว่า คือ เห็นวิวได้สวยกว่านั้นเอง ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวสูงสุดก่อน จากนั้นจึงเดินลงมายังจุดชมวิวด้านล่าง
บริเวณจุดชมวิวสูงสุด มีทางเดินไม้ไผ่ทอดยาวริมเขา มีระเบียงชมวิวตรงกลางให้ได้ไปยืนและถ่ายภาพด้วย มุมนี้เป็นมุมที่สวยมาก เพราะตั้งอยู่ตรงกลางเบื้องหน้าคือ ลำน้ำโขงที่มองเห็นเกาะแก่งและแสงสีทองสะท้อนลำน้ำที่สวยงาม วันที่เดินทางเสียดายว่าหมอกน้อยไปหน่อย เพราะฝนไม่ตกมานาน
ภูห้วยอีสัน เป็นจุดพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกแบบกว้างไกลสุดตา เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามและขึ้นชื่อของหนองคาย เบื้องล่างสามารถมองเห็นเกาะแก่งของแม่น้ำโขง หากวันใดที่สายหมอกบางเบา สามารถมองเห็นวิวพระอาทิตย์สีทองในยามเช้าสะท้อน ไปยังพื้นน้ำและเกาะแก่งได้ชัดเจน
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นสายหมอกบางก็ค่อยลอยมามากขึ้น จากตอนแรกที่ไม่มีหมอกเลย หากวันไหนที่หมอกไม่หนาแน่นอาจต้องรอนิดนึงค่ะ ประมาณเจ็ดโมงกว่าถึงจะเริ่มลอยมาให้เห็น ภูห้วยอีสัน จุดชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามแห่งหนองคาย กับบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติสดชื่นในยามเช้า
ทานอาหารเช้า ตากหมอกนอนเบิ่งดาว
หลังจากลงมาจากจุดชมวิวภูห้วยอีสัน บริเวณจุดขึ้นรถมีร้านอาหารซึ่งให้บริการอาหารเช้าแบบง่ายๆ เช่น ไข่กระทะ ข้าวต้ม กาแฟ โอวัลติน ตากหมอกนอนเบิ่งดาว ที่นี่เป็นที่พักที่ให้บริการในรูปแบบเต้นท์ และมีเต้นท์กระโจมริมโขง ในราคาหลักร้อย บรรยากาศกว้างขวาง วิวดีมาก
อาหารมื้อเช้า นั่งทานในกระท่อมไม่ไผ่ ซึ่งเป็นในส่วนของโซนนั่งทานอาหาร มีไข่กระทะ ข้าวต้ม รสชาติอร่อยมาก แม้จะเป็นเมนูง่ายๆ แต่เป็นมื้อเช้าที่ฟินสุด
อีกหนึ่งจุดกางเต้นท์ที่ตั้งอยู่ริมน้ำโขงสำหรับสายแคมปปิ้งให้ได้พักผ่อนสบายๆใกล้ชิดธรรมชาติ สะอาด ร่มรื่นใต้ร่มเงาของสวนปาล์ม ที่ สวนปาล์มเบอร์รี่ สามารถสัมผัสบรรยากาศยามเช้ากับสายหมอกบางกลางแม่น้ำโขง
สำหรับค่าบริการ เต็นท์พร้อมชุดที่นอนราคา 450 บาท พักได้ 2 ท่าน พร้อมเครื่องนอน มีน้ำเปล่า 2 ขวด กาแฟเช้าฟรี จัดที่นั่งหน้าเต็นท์ไว้ให้ หากต้องการอาหารเช้า 2ที่ คิดเพิ่ม100บาท มีข้าวต้มและไข่กะทะ ลูกค้านำเต็นท์มากางเองคิดคนละ 100 บาท พร้อมบริการล่องเรือชมพันโขดแสนไคร้ ที่นี่ให้บริการล่องเรือชมโขงด้วยค่ะ ราคา 350 บาทนั่งได้4คน ติดต่อจองห้องพัก โทร 0897740386 Lineid 0897740386 หรือ สามารถเข้าไปดูที่เพจได้เลย คลิ๊ก สวนปาล์มเบอรี่
จบทริปที่หนองคาย สำหรับการซึมซับและเก็บเกี่ยวความสวยของ อำเภอสังคม และบ้านม่วง อยากให้ได้ลองมาสัมผัสกับความสวยงามทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง ชมวิว skywalk นั่งรถอีแต๋นเที่ยวชมทะเลหมอก ฟินไปกับวิวริมโขง มาสัมผัสชีวิตแบบ slowly แล้วจะชอบและหลงรักอำเภอแสนสงบ วิวงาม แห่งนี้