เกาะกลาง เที่ยวกิน อิ่ม อบอุ่นวิถีชุมชน
หากนึกถึงกระบี่ก็จะนึกถึงแต่การท่องเที่ยวทะเล ซึ่งมีเกาะสวยงามให้เที่ยวมากมาย ท่ามกลางความคึกคักของนักท่องเที่ยว แต่ใครจะรู้ว่าในตัวเมืองกระบี่มีความสงบสวยงามซุกซ่อนอยู่ เพียงแค่นั่งเรือข้ามฝั่งจากตัวเมืองเพียง 10 นาที จะได้พบกับชุมชนที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและยังคงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นไว้เป็นอย่างดี ที่ชุมชนบ้านเกาะกลาง เกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำกระบี่ ห้อมล้อมด้วยป่าชายเลนและปากแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์นับพันไร่ เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่งที่มีแต่ธรรมชาติ ความอบอุ่น และเป็นมิตรจากชาวบ้าน
การเดินทางมาที่เกาะกลาง สามารถนั่งเรือหางยาวข้ามฟากจากตัวเมืองมายังฝั่งเกาะกลาง โดยใช้บริการได้ 2 ท่า คือ ท่าเรือสวนสาธารณะธารมายังท่าเรือท่าเลใช้เวลา 5 นาที และท่าเรือเจ้าฟ้า มายังท่าเรือท่าหิน ใช้เวลา 10 นาที เรือให้บริการตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม เราเลือกเดินทางมาเกาะกลางโดยขึ้นเรือที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากลานปูดำ โดยจอดรถไว้บริเวณสวนสาธารณะก่อนถึงท่าเรือ ซึ่งจุดนี้ที่จอดรถกว้างขวางและค่อนข้างปลอดภัย จากนั้นเดินมาขึ้นเรือที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ในเหมาลำ 100 บาท นั่งได้ 8 คน
ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ก็มาถึงท่าเรือท่าหินฝั่งเกาะกลาง บริเวณท่าเรือมีร้านอาหารขึ้นชื่ออยู่ 2 ร้าน ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมักจะนั่งเรือมาทานอาหารที่นี่ นั้นก็คือ ร้านขนาบน้ำ ซีฟู้ด และบ้านมะหญิง ซึ่งอยู่ติดกัน
การมาเที่ยวเกาะกลางสามารถเที่ยวได้ทั้งแบบไปเช้าเย็นกลับ หรืออาจจะพักค้างคืนเพื่อสัมผัสบรรยากาศของชุมชนให้เต็มที่ ที่พักบนเกาะกลางมีไม่มากนัก มีทั้งแบบบ้านโฮมสเตย์ริมทะเลซึ่งจะอยู่บริเวณท้ายเกาะ หรือพักรีสอร์ท ตกแต่งสวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวบนเกาะ ชื่อว่า อัยลันดา ไฮด์อะเวย์ รีสอร์ท ที่พักสไตล์อีโค่ หลังจากมองหาที่พักและข้อมูลมาในระดับหนึ่ง ไปสะดุดตาและถูกใจที่พักแบบโฮมสเตย์ร่วมกับเจ้าของบ้านที่ท่าทางจะดูเป็นมิตร ตกแต่งชิค บรรยากาศสบายๆกันเอง ชื่อว่า คิดถึง คอทเทจ ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าเรือเพียง 100 เมตร เรียกได้ว่าลงจากเรือปุ๊บก็เดินมาบ้านพักได้เลย เมื่อก้าวเข้ามาในบริเวณบ้านเราจะได้ยินเสียงกล่าวต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมรอยยิ้มจากเจ้าของบ้านทั้ง 2 คน น้องน้องมัตถ์และน้องมูนา 2 สามีภรรยา ที่มานำบ้านส่วนตัวมาปรับปรุงเป็นบ้านโฮมสเตย์ คุยกันได้ซักพักใหญ่ รู้สึกชื่นชอบและอุ่นใจในอัธยาศัยไมตรีของทั้ง 2 คน ที่พูดคุยและแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆบนเกาะกลางได้ดีมาก
สำหรับราคาที่พัก คิดเป็นรายหัว คือ คนละ 600 บาท รวมอาหารเช้า เป็นห้องแอร์ทั้งหมด มีความดีงามตรงนี้ ห้องนี้คือ ห้องนอนของเราในคืนนี้ เป็นห้องที่พักได้ 2 ท่าน ตามที่บอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่เรียกว่าโฮมสเตย์จริงๆ คือ เจ้าของบ้านก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย เพียงแต่แบ่งห้องมาทำเป็นที่พัก ห้องพักของคิดถึง คอทเทจ มีไม่มากนักประมาณ 3 ห้อง เป็นห้องพัก 2 คน 1 ห้อง และห้อง 4 คน 1 ห้องซึ่งอยู่ชั้นล่าง ส่วนห้อง 6 คน 1 ห้องอยู่ชั้นบน ส่วนห้องน้ำนั้นจะเป็นห้องน้ำรวม
บรรยากาศภายในบ้านพัก มีโถงนั่งเล่นส่วนกลาง บริเวณข้างนอกก็มีที่นั่งพักผ่อนไปกับธรรมชาติ แต่ละมุมตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่มีความกุ๊กกิ๊กน่ารัก บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างร่มรื่น เงียบสงบและเป็นส่วนตัวมาก เดินเล่นไปชมบ้านไปให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับมาเยี่ยมบ้านในต่างจังหวัด เหมือนอยู่บ้านของตัวเอง
กิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนเกาะกลาง
มาถึงเกาะกลาง จะทำอะไรกันดี แน่นอนกิจกรรมหลัก คือ เที่ยวชมบรรยากาศและวิถีชีวิตชาวบ้านรอบเกาะ ซึ่ง บนเกาะกลางนั้นมีกลุ่มอาชีพหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มเพนท์ผ้า ทำผ้าบาติก ทำเรือหัวโทง ชมการสักหอยชายหาด การเที่ยวรอบเกาะจะปั่นจักรยานเที่ยว ขี่มอเตอร์ไซต์ หรือใช้บริการรถสามล้อพ่วงข้างนำเที่ยวก็ย่อมได้ วันแรกที่มาถึงขอไปแบบสโลวๆจะได้ออกกำลังกายเผาผลาญไขมันไปในตัว นั่นก็คือ ปั่นจักรยาน ที่คิดถึง คอทเทจ มีจักรยานแม่บ้านให้ปั่นฟรี
และมีจักรยานทัวริ่งให้เช่าด้วยค่ะ ก่อนปั่นน้องมัตถ์ได้ส่งแผนที่ท่องเที่ยวเกาะกลางพร้อมอธิบายจุดท่องเที่ยวต่างๆ ให้แบบครบถ้วน
เริ่มปั่นในช่วงบ่ายแก่ๆ เพราะแดดไม่แรงมาก เกาะกลางมีถนนสายหลักเล็กๆ เป็นคอนกรีต วิ่งรอบเกาะอยู่ 1 สาย ตลอดสองข้างทางจะเป็นบ้านเรือนของผู้คน บ้าง เป็นทุ่งหญ้า ป่าชายเลนบ้างสลับกันไป ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประมงพื้นบ้าน และรับจ้างทั่วไป ชาวมุสลิมบนเกาะกลางนั้น รักสันติ มีความสงบและเรียบง่าย เต็มไปด้วยมิตรภาพ และรอยยิ้ม ตลอดเส้นทางที่ปั่นจักรยานเที่ยวนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนต่างถิ่นแม้แต่น้อย ในทางกลับกันรู้สึกว่าเราคือ คนในพื้นที่เป็นลูกเป็นหลาน เพราะชาวบ้านทุกคนเป็นกันเองและให้การต้อนรับดีมาก
เราแวะชม การทำเรือหัวโทง ซึ่งตั้งอยู่ในศูนย์โอทอปบ้านเกาะกลาง หากเดินทางจากท่าเรือหรือคิดถึงคอทเทจก็จะเจอศูนย์ชาวนาข้าวสังข์หยดเป็นที่แรก แต่วันที่เดินทางไปที่กลุ่มมีงานนิดหน่อยเลยไม่ได้เปิดให้เข้าชม และต่อมาคือ กลุ่มเรือหัวโทง ซึ่งในสมัยก่อนชาวเกาะกลางนิยมใช้เรือหัวโทงทำประมงหาเลี้ยงชีพและใช้ในการเดินทาง แต่ปัจจุบันอาชีพประกอบเรือหัวโทงเริ่มลดน้อยลง และรูปแบบเรือหัวโทงดั้งเดิมก็หาดูได้ยาก ชาวบ้านจึงรวมกลุ่มขึ้นมาเพื่อทำเรือหัวโทงจำลองขึ้นโดยมี บังสมบูรณ์ เป็นผู้บุกเบิก การต่อเรือหัวโทงจำลอง โดยใช้วิชาความรู้ ที่ได้สืบทอด มาจากคุณพ่อ ซึ่งเป็นช่างต่อเรือ ชาวเกาะกลาง ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้ประวัติและความเป็นมาของเรือที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดกระบี่ โดยเรือหัวโทงจำลองจากเกาะกลางได้พัฒนาเป็นสินค้าโอทอประดับ 4 ดาว ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด
นอกจากเรือหัวโทงแล้ว ยังได้รู้จักกับสินค้าของอนุรักษ์ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านเกาะกลางอีก 1 อย่าง นั่นก็คือ ไฟตบ หรืออุปกรณ์จุดไฟสมัยโบราณ ถ้าเทียบกับของในยุคปัจจุบันก็คือ ไฟเช็ค นั้นเอง ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ได้รู้ว่ามีของแบบนี้ด้วยก็ที่เกาะกลางนี่แหละมีลักษณะพิเศษและแปลกตามาก อุปกรณ์ที่นำมาใช้ผลิตนั้น มาจากปลายสุดของเขาควายตันโดยนำมาเจาะรูแล้วใช้ไม้กลมขนาดพอดีรูที่เจาะไว้ แล้วใช้ซากเต้าร้างต้นไม้ป่าที่หาได้ทั่วไปเป็นชนวนจุดไฟ โดยใช้วิธีการอัดเข้าไปในรูของเขาควายแล้วใช้มือตบอัดเข้าไปในเขาควายแล้วดึงขึ้นมาก็จะทำให้เกิดประกายไฟติดขึ้นมา เห็นอันเล็กๆแบบนี้ ราคาไม่ใช่เล่นๆ อันละ 1200 บาท แต่พี่บังบอกว่า มีกลุ่มลูกค้าที่ชอบของโบราณแบบนี้และซื้อเก็บไว้ มีออเดอร์สั่งทำตลอด บอกเลยไม่ใช่ธรรมดา
ออกมาจากกลุ่มเรือหัวโทง ปั่นจักรยานชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ตลอดสองข้างทางนั้นอากาศดีและเย็นสบาย เป็นธรรมชาติมาก รับรู้ถึงความบริสุทธิ์ของอากาศ เรามาหยุดพักกันตรงนี้ ณ ทุ่งนากว้างใหญ่ เกาะกลางมีการปลูกข้าวด้วย เรียกว่า ข้าวสังข์หยด เป็นข้าวสายพันธุ์พื้นเมืองที่เป็นของดีของภาคใต้ และในพื้นที่เกาะกลางเป็นอีกหนึ่งแหล่งของภาคใต้ที่มีการทำนาข้าวสังข์หยดจนได้กลายมาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์โอท็อปของจังหวัดกระบี่ ข้าวสังหยดที่ปลูกบนเกาะกลางจะแตกต่างจากแหล่งอื่นๆ เพราะที่ดินที่เกาะกลางมีความเค็มของน้ำทะเลผสมอยู่ด้วย เมื่อหุงแล้ว มีความหอม หุงขึ้นหม้อ และเคี้ยวนุ่ม โดยการทำนาข้าวสังหยดจะปลูกปีละครั้งในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนธันวาคม เพราะฉะนั้นใครอยากได้บรรยากาศสีเขียวในช่วงทำนาก็เลือกมาให้ถูกจังหวะ
ในเวลาฤดูร้อนชาวบ้านพักจากการทำนาชั่วคราว และเปลี่ยนพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นสนามเล่นว่าวแทน ทราบมาว่าในวันพรุ่งนี้จะมีการแข่งขันว่าวด้วย วันนี้ก็จะมีซ้อมกันนิดหน่อย
กรงนกหัวจุกที่เราจะได้เห็นห้อยอยู่หน้าบ้านแทบทุกบ้านของชุมชนเกาะกลางนิยมเลี้ยงกันไว้ เพื่อความบันเทิง และเพื่อแข่งขันประชันเสียงกันด้วย
นอกจากนกหัวจุกแล้ว เราจะได้เห็นแพะที่เดินอยู่ทั่วไปตามท้องถนน และตามบ้านเรือน เหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน คล้ายกับสุนัข ด้วยเกาะกลางนั้นเป็นชุมชนชาวมุสลิมทำให้ไม่มีการเลี้ยงสุนัขแต่จะเห็นเจ้าแพะน้อยมาแทน
มาถึงกลุ่มทำผ้าปาเต๊ะ ซึ่งลายผ้าปาเต๊ะบนเกาะกลางจะมีรูปแบบเฉพาะตัวที่มีการผสมผสานกันระหว่างการทำผ้าปาเต๊ะของชาวมาเลย์กับวิธีการทำผ้าบาติกลายผ้า ทำให้สีสันที่ออกมามีความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเรียนรู้และทดลองผ้าปาเต๊ะด้วยมือของตัวเอง
ปั่นจักรยานมาถึงเกือบท้ายเกาะ เรียกว่าไกลพอสมควร ทำเอาแอบหอบด้วยความเหนื่อย มาเพื่อชมบรรยากาศของการสักหอยในยามเย็น การสักหอยหรือขุดหอย เป็นการทำประมงพื้นบ้านที่น่าสนใจ สามารถชมได้ที่หาดแหลมสน ชายหาดเพียงแห่งเดียวบนเกาะที่ติดทะเล มีหาดทรายในพื้นที่รอยต่อระหว่างปากแม่น้ำกระบี่กับทะเลกระบี่ หาดทรายที่นี่จึงอุดมสมบูรณ์ ในพื้นทรายเต็มไปด้วยหอยมากมาย เช่น หอยราก หอยเม็ดขนุน หอยหลักไก่ หอยจุ๊บแจง โดยเฉพาะหอยหวานนั้นจะพบมาก แต่ละวันยามน้ำลงจะมีชาวบ้านออกมาเดินสักหอยเพื่อนำไปขาย สำหรับการสักหอยนั้นเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาแต่โบราณ โดยชาวบ้านจะนำไม้แหลมกลมยาว มาเดินแทงลงบนพื้นทราย เมื่อทรายขยับตัว บริเวณไหนที่หอยอาศัยอยู่ หอยจะพ่นน้ำออกมา จากนั้นเมื่อคนสักเห็นน้ำผุดขึ้นมาจากทรายก็จะใช้เท้าคีบหอยใส่ภาชนะ เราจบการเดินทางของวันนี้กันที่นี่ จากนั้นจึงปั่นจักรยานกลับไปยังที่พักเพื่อพักผ่อน
ตื่นเช้ามาทานอาหารเช้าที่ทางน้องมัตถ์และมูนาเตรียมไว้ให้ วันนี้มีแขกมาพัก 3 คน อาหารเช้าเน้นเป็นอาหารใต้ท้องถิ่น อย่างเช่น ขนมจีน ข้าวยำ ไก่กอและ ข้าวหมกไก่ และขนมทางใต้แบบโบราณที่หาทานได้ยากเราก็ได้มีโอกาสมาทานที่นี่ บอกเลยว่าอร่อยมาก
เช้าวันนี้เราตั้งใจว่าจะนั่งรถเที่ยวชุมชนเกาะกลางอีกรอบ เพราะเมื่อวานที่ปั่นจักรยานไปเองยังเที่ยวได้ไม่ครบ และแอบเหนื่อยนิดๆ วันนี้เลยใช้บริการสามล้อพ่วงข้างนำเที่ยวแทน เพราะรู้สึกว่าเที่ยวกับคนในพื้นที่น่าจะได้อะไรมากกว่าสามารถพาไปยังจุดต่างๆที่เราอาจไม่รู้จัก น้องมัตถ์เลยจัดหามาให้บอกว่าต้องคนนี้ แจ๋วสุดๆ คุยเก่ง และรอบรู้เรื่องเที่ยวบนเกาะ พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวมาเยอะแล้ว ทุกคนที่ใช้บริการต่างติดใจ เวลา 9 โมงเช้า คือเวลานัดหมาย เสียงรถของบังเลาะคนขับรถสามล้อที่น้องมัตถ์พูดถึงก็มาจอดหน้าบ้านพักของเรา พูดคุยถึงความต้องการนิดหน่อยว่าอยากไปแวะตรงไหนบ้าง และเมื่อวานแวะที่ไหนไปแล้วบ้าง ว่าแล้วบังเลาะก็เซย์เยสพาไปในทันที ระหว่างที่นั่งรถด้วยกันก็เล่าเรื่องนู้นนี้บนเกาะกลางให้เราฟังมากมาย บังเลาะบอกว่า “ บนเกาะกลางนี้ผมรู้หมดครับ ถามผมได้ โดยเฉพาะเรื่องเพื่อน(ภาษาใต้คือเรื่องของคนอื่น) จะรู้มากเป็นพิเศษ” ฟังแล้วก็อดขำไม่ได้ แกรู้มากตามที่บอกจริงๆ
บังเลาะพาเรามาถึงจุดแรก นั่นก็คือ บริเวณชายหาดแหลมสนที่มาดูการสักหอยเมื่อวานนั่นเอง ซึ่งในเวลานี้น้ำขึ้นแล้ว จากชายหาดที่เต็มไปด้วยผืนทราย กลับเปลี่ยนเป็นน้ำทะเลสีฟ้ามาแทนที่
“ตามผมมาเลยครับ เดี๋ยวจะพาไปดูทะเล จากชายหาดมองเห็นเกาะไก่อยู่ข้างหน้าเลยสวยมาก ตรงนี้มีบ้านพักโฮมสเตย์อีกแห่งหนึ่งด้วย ” ว่าแล้วก็เดินนำเราไปเข้ามาที่คลองลุโฮมสเตย์ ที่พักอีกแห่งบนเกาะกลาง ซึ่งที่นี่จะออกแนวชาวบ้านซักหน่อย มีบ้านพักให้บริการเป็นหลังในราคาหลังละ 600 บาท
บ้านพักของที่นี่จะอยู่ใกล้กับทะเลมาก คือ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึง ซึ่งเป็นชายหาดที่สามารถมองเห็น เกาะไก่ หนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวทะเลแหวก อยู่บริเวณหน้าหาด เรียกว่าไม่ไกลมาก นักท่องเที่ยวที่มาพักที่เกาะกลางสามารถเหมาเรือหางยาวไปเที่ยวทะเลแหวก เกาะไก่ เกาะปอดะ ได้เช่นกัน
จากนั้นบังเลาะ พาไปยังศูนย์เลี้ยงผึ้งโพรง และบ่อเลี้ยงปูดำ มีชื่อว่า เรินปะ เรินมะ เป็นภาษาใต้มุสลิม แปลว่า บ้านพ่อ บ้านแม่ นั้นเอง ความรู้สึกแรกที่ได้เข้ามาที่นี่ คือ ร่มรื่นมาก มีความอาร์ตชิคผสมผสานการตกต่างแนวบ้านๆ มีมุมนั่งเล่นน่ารักหลายมุม
ของที่ระลึกที่เจ้าของทำด้วยตัวเอง ทั้งที่คาดผมผ้าบาติก อุดหนุนมา 2 ผืน เพราะสีสันและลายสวยดี ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเมล็ดลูกตาลไอเดียดีมาก นำมาทำเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
ภายในสวนจะเห็นบ้านหลังน้อยของผึ้งโพรงกระจายตามจุดต่างๆ ผึ้งโพรง เป็นผึ้งพื้นเมืองของประเทศไทย การเลี้ยงผึ้งโพรงมีมากที่เกาะสมุยและภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งส่วนมากนิยมเลี้ยงแบบให้ผึ้งเข้าไปทำรังอยู่ในหีบไม้ตามธรรมชาติ น้ำผึ้งที่ได้มีคุณภาพสูง เนื่องจากผึ้งโพรงได้ออกกินเกสรดอกไม้จากต้นไม้ตามธรรมชาติ และเฉพาะช่วงที่ไม้ผลเริ่มออกดอก ฝูงผึ้งเหล่านี้จะกินเกสรและสร้างน้ำผึ้งน้ำหวานคุณภาพดี ทำให้น้ำผึ้งจากผึ้งโพรงนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดมาก
นอกจากผึ้งโพรงแล้ว เรินปะ เรินมะ ยังมีบ่อเลี้ยงปูทะเลด้วย ซึ่งเลี้ยงในบ่อแบบธรรมชาติเช่นกัน ทราบมาว่าขายดิบขายดีมาก มีคนสั่งแทบทุกวัน ทั้งคนบนเกาะเอง และร้านอาหารในเมืองกระบี่ ขายกิโลกรัมละ 450 บาท เป็นปูไข่เน้นๆ หลังจากได้ชิม ก็ติดใจก็ซื้อขึ้นเครื่องกลับบ้านไป 2 กิโล เนื้อหวานอร่อยมาก
มาถึงจุดต่อไป นั้นคือ ศูนย์ผ้ามัดย้อม จากสีธรรมชาติ ที่ได้จากเปลือกไม้ และต้นไม้ต่างๆ กรรมวิธี คือ นำผ้าสีขาวมามัดด้วยหนังยางเพื่อสร้างลวดลาย จากนั้นนำไปต้มลงในสีธรรมชาติที่เตรียมไว้ จนกลายเป็นลวดลายผ้ามัดย้อมที่สวยงาม
ก่อนกลับที่พักบังเลาะพาไปชมการแข่งขันประชันเสียงของนกกรงหัวจุก ซึ่งเป็นกิจกรรมสนุกๆ ของชาวบ้านบนเกาะกลาง บรรยากาศครื้นแครงมาก เราถามว่าแล้วตัดสินอย่างไรว่าตัวไหนชนะ บังเลาะบอกว่า ตัวไหนร้องได้ตามกติกาที่ตั้งไว้ก็จะชนะ ตัวอย่างเช่น รอบแรกนกต้องร้อง 3 พยางค์ขึ้นไป จึงจะผ่านเข้าไปในรอบต่อไป จากนั้นหานกที่ร้องจำนวนดอกได้มากที่สุดในเวลาที่กำหนดรวมทั้ง ลีลา ท่าทาง ร้องทน ร้องริก ก็นับคะแนะให้ด้วย โดยการแข่งขันจะแบ่งเป็นรอบและค่อยคัดออกไปทีละชุด จนเหลือตัวที่ร้องได้ตามกติกาที่ตั้งไว้มากที่สุด เรียกได้ว่าพอถึงรอบร้องแต่ละครั้ง เสียงนกร้องดังลั่นเกาะ สร้างความเฮฮาและลุ้นกันไปว่านกของใครจะผ่านเข้ารอบบ้าง อารมณ์แบบมาแบทเทินกันในรายการร้องเพลงยังไงยังงั้น
ก่อนข้ามกลับไปยังฝั่งเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพ มาถึงเกาะกลางแล้วก็ต้องจัดอาหารทะเลสดๆกันซักหน่อยไม่งั้นจะเรียกว่ามาไม่ถึง โดยเน้นเมนูท้องถิ่นผสมเข้าไปด้วยซึ่งรีเควสให้น้องมัตถ์กับมูนาทำให้ทานโดยเฉพาะ ซึ่งน้องทั้งสองแนะนำเมนูต่างๆ รวมทั้งไปตามหาวัตถุดิบมาทำให้ทานจนครบ ขอบคุณน้องอีกครั้งรวมถึงครอบครัวด้วยค่ะ ที่ตั้งใจทำอาหารมื้อนี้ให้ทาน ช่วยกันทั้งบ้าน เริ่มจากหอยหลักไก่หรือหอยเจดีย์ หอยขึ้นชื่อของเกาะกลาง รวมทั้งหอยตัวใหญ่แบนๆ คือ หอยผาก ที่หาทานได้ยากมาก แต่หาทานได้ที่กระบี่ ตัวใหญ่เท่าฝ่ามือเลยทีเดียว นำมาลวกแล้วจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดอร่อยสุดๆ
ปูทะเลนึ่ง ปูก็มาจากเรินปะ มะ นั่นเอง ถึงแม้ตัวเล็กแต่อุดมไปด้วยไข่ และเนื้อหวานมาก เพราะได้ทาน ถึงกับอดใจไม่ได้ต้องซื้อกลับกรุงเทพเลยทีเดียว โทรไปสั่งที่เรินปะ จากนั้นก็นำมาส่งถึงที่ แพคใส่กล่องมาให้เรียบร้อย น่ารักสุดๆ
น้ำพริกหยำของใต้ หรือน้ำพริกกุ้งสดใส่หัวหอม ทานกับผักพื้นบ้าน มีสาหร่ายขนนก ที่หาทานได้เฉพาะที่กระบี่ด้วย จัดมาให้แบบเต็มๆ ทานแล้วกรุบกรับอร่อยดี
รวมหน้าตาอาหารทั้งหมด กุ้งอบเกลือ แกงไตปลา หอยเจดีย์ลวกและแกงกะทิ ต้มปลาทูกับตะลิงปลิง และหมึกน้ำดำ แบบพื้นบ้าน มื้อนี้เป็นมื้อที่วิเศษสุดๆ อิ่มท้องไปถึงกรุงเทพ
เดินทางมาก็หลายร้อยแห่งในประเทศไทย มีสถานที่หลายแห่งอยากกลับไปเพราะชอบความสวยงามของสถานที่ แต่มีเพียงไม่กี่สิบแห่งที่อยากกลับไปอีก เพราะหลงรักผู้คน วิถีชีวิต ความมีน้ำใจ ความเป็นกันเองและรอยยิ้ม มีความสุขที่ได้อยู่จนไม่อยากกลับ 1 ในนั้นคือ บ้านเกาะกลาง กระบี่ ขอบคุณน้องมัตถ์น้องมูนาและครอบครัว ที่ดูแลอย่างดีและให้ความรู้เกี่ยวกับวิถีชุมชนเกาะกลางครบถ้วนมาก บังเลาะพาเที่ยวรอบเกาะเล่าเรื่องเกาะกลางในมุมที่อยากรู้ รวมถึงความเป็นมิตรของชาวบ้านบนเกาะกลางทุกคน ที่ทำให้การเดินทางไปเที่ยวเกาะกลางในครั้งนี้ไม่มีคำว่าเหงา มีแต่ความอบอุ่น เสมือนว่าเรากลับไปเยี่ยมบ้านเกิด สัญญาว่าจะกลับไปเยี่ยมเยือนเกาะกลางอีกแน่นอนค่ะ
รายละเอียดเพิ่มเติม
คิดถึง คอทเทจ โทร 062 939 7676 ราคาคนละ 600 บาท รวมที่พัก 1 คืน และอาหารเช้า 1 มื้อ
เฟสบุค https://www.facebook.com/kidthung.cottage/
บังเลาะ รถสามล้อ นำเที่ยวรอบเกาะกลาง โทร 097 031 4943 ราคาครึ่งวัน 500 บาท และเต็มวัน 900 บาท นำเที่ยวยังจุดต่างๆ รอบเกาะ
คลองลุโฮมสเตย์ โทร 089 592 9588 , 082 2708201
ข้อปฎิบัติสำหรับนักท่องเที่ยว
1 ห้ามนำสิ่งเสพติด หรือของมึนเมาทุกชนิดขึ้นมาบนเกาะ
2 ห้ามนำอาหารที่มีหมู ขึ้นมาบนเกาะ
3 ห้ามนำสุนัขขึ้นมาบนเกาะ
4 ควรแต่งกายสุภาพ มิดชิด ผู้หญิงไม่ควรสวมเสื้อสายเดี่ยว เกาะอก หรือกางกางขาสั้นสูงจนเห็นต้นขา
5 ห้ามแสดงพฤติกรรมเชิงชู้สาว หรือ อนาจารในที่สาธารณะ