• หน้าแรก
  • กุยบุรี กรีนเวอร์ชั่น ชมทุ่งหญ้า ส่องช้าง ดูกระทิง

กุยบุรี กรีนเวอร์ชั่น ชมทุ่งหญ้า ส่องช้าง ดูกระทิง

หากนึกถึง อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนใหญ่จะรู้จักในพาร์ทความของเป็นทะเล มีที่พักสะดวกสบายและร้านอาหารริมทะเลหลายแห่ง แต่หลายคนอาจไม่รู้จักอีกมุมหนึ่งของ กุยบุรี ที่มีความความเป็นธรรมชาติ มีความเขียวขจีของภูเขาบรรยากาศเหมือนมาเที่ยวในภาคเหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวโซนอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ที่ได้ชื่อว่าเป็นผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ในระดับน้องๆของแก่งกระจาน ที่นี่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งดูช้างป่าและกระทิงตามธรรมชาติที่ดีที่สุดในเมืองไทย จะพาทุกคนมารู้จัก กุยบุรี ในพาร์ทกรีนเวอร์ชั่น ที่ไม่ต้องใช้เวลามากมายในการท่องเที่ยว แค่ 2 วัน 1 คืน ก็ได้รีชาร์ตพลังแบบเต็มๆ

เที่ยวกุยบุรี

วันแรก

  Little Swiss Resort

จากกรุงเทพมาถึงกุยบุรี ประมาณเที่ยง กุยบุรีโซนนี้อยู่ในบ้านยางชุม และอุทยานแห่งชาติกุยบุรี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นผืนป่าและภูเขา และบ้านเรือนของชาวบ้าน มีสถานที่ท่องเที่ยว คือ อ่างเก็บน้ำยางชุม จะถึงก่อน ต่อด้วยทุ่งหญ้า 1500 ไร่  และอุทยานแห่งชาติกุยบุรี  ในโซนนี้ไม่มีร้านอาหารใหญ่ มีเพียงร้านอาหารของชาวบ้าน เป็นอาหารตามสั่งจานเดียว ก๋วยเตี๋ยว เพียงไม่กี่ร้าน ที่พักนอกจากที่พักของอุทยานฯและโฮมสเตย์ของชุมชน ยังมีที่พักแบบรีสอร์ทห่างจากอุทยานไม่ไกลนัก น่าจะมีเพียงแห่งเดียว คือ little swiss ใกล้อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มองเห็นวิวทุ่งหญ้า 1,500 ไร่ได้จากระเบียงห้อง แถมอากาศยังสดชื่นเย็นสบาย

>> อ่านรีวิว  little swiss เพิ่มเติมที่  Little Swiss Resort ที่พักใกล้อุทยานกุยบุรี ชมวิวทุ่งหญ้า 1500 ไร่

ทุ่งหญ้า 1500 ไร่

หลังจากพักผ่อนยังที่พักแล้ว ช่วงบ่าย ไปที่ ทุ่งหญ้า 1500 ไร่  ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ทุ่งหญ้าสีเขียวสุดกว้างไกล ตั้งอยู่เขตพื้นที่อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถ่ายรูปกับฝูงแพะและท่ามกลางทุ่งหญ้า มีฉากหลังสุดอลังการของเทือกเขาตะนาวศรีที่เรียงรายสวยงามสมสลับซับซ้อน บรรยากาศเหมือนสวิสเซอร์แลนด์ แถมยังมีอุโมงค์ต้นไม้ทอดยาวกลางทุ่งหญ้า ให้แชะภาพสุดปังอีกเป็นจุดแวะเที่ยวกุยบุรี ที่ต้องแวะมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ชมบรรยากาศสีเขียวได้แบบสบายตา ยกให้เป็นทุ่งหญ้าแบบธรรมชาติที่สวยงามที่สุดในเมืองไทย

การเดินทางเข้ามาชมทุ่งหญ้า เข้ามาในบ้านรวมไทย มีซอยเล็กๆเป็นถนนดินแดงผสมกับหินผ่านอุโมงค์ต้นไม้ที่ทอดยาว ขับรถต้องค่อยๆและระวังหินนิดนึง ระหว่างทางจะมีช่องทางดินที่สามารถนำรถเข้าไปในทุ่งหญ้าได้แบบใกล้ชิด โดยทุ่งหญ้าแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้ายหญ้าจะสั้นติดกับดิน เป็นหญ้าที่วัวชอบกิน ส่วนอีกฝั่งจะค่อนข้างเต็มแน่นและสูงกว่า

ทุ่งหญ้าแห่งนี้เป็นพื้นที่ในความดูแลของสถานีพัฒนาอาหารสัตว์กรมปศุสัตว์ ที่ปลูกหญ้าไว้นับพันไร่ ให้ชาวบ้านซึ่งเป็นเกษตรกร นำสัตว์ที่เลี้ยงไว้ ทั้ง วัว แพะ มากินหญ้าเป็นอาหาร โดยหญ้าที่ปลูกไว้ เป็นหญ้า 2 สายพันธุ์ คือ หญ้ารูซี่ และหญ้าแพงโกล่า ใช้สำหรับเลี้ยงโค กระบือ ด้วยความสวยงามของทุ่งหญ้าที่มีวิวเป็นมีภูเขาโอบล้อมสวยงาม รวมทั้งมีฝูงสัตว์น้อยใหญ่ที่ชาวบ้านจะต้อนเข้ามากิยหญ้าตามธรรมชาติ  จากทุ่งหญ้าที่ใช้เลี้ยงสัตว์ธรรมดา กลายเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวสวยงาม จุดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของเมืองประจวบที่ไม่ควรพลาด

ระหว่างทางจะเห็นฝูงวัวที่กำลังแทะเล็มหญ้ามองหน้า และมีการทำลวดเส้นเล็กๆกั้นไว้ไม่ให้วัวออกมา แต่จะมีช่องให้เราเดินเข้าไปได้ แค่เห็นภาพครั้งแรกก็ว้าวมาก ทุ่งหญ้า ภูเขา ทิวต้นไม้และต้นสน บรรยากาศเหมือนทุ่งหญ้าในต่างประเทศ น้องวัวสีผิวสวยละมุน ทั้ง สีขาวครีม บางตัวก็มีสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม  วัวบางตัวจะมองเราแบบพร้อมบวกมาก  หน้าตาสงสัยว่าเธอเป็นใคร จะมาทำอะไรฉันหรือเปล่า ยืนมองน้องอยู่ห่างๆน่าจะดีกว่า ไม่ควรเข้าไปใกล้มาก

แพะตัวน้อย ที่มากินหญ้าอีกฝั่งหนึ่ง หญ้าฝั่งนี้จะสูงกว่าหญ้าทางฝั่งที่น้องวัวแทะ ลมพัดที่หนึ่งทุ่งหญ้าก็พริ้วไหวสวยงาม เราสามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปในทุ่งหญ้าใกล้ชิดกับน้องแพะได้ แต่ต้องเดินด้วยความระมัดระวังเพราะบางจุดทุ่งหญ้าจะแน่นเต็มจนมองไม่เห็นพื้นดิน เราไม่รู้ว่าพื้นดินมีอะไรอยู่บ้าง ส่วนน้องแพะเมื่อเห็นคนเดินเข้าไปหา น้องจะเดินหนี เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้ถ่ายแบบใกล้ชิดอาจจะยากสักหน่อยค่ะ ยกเว้นเราจะถือหญ้าเดินเข้าไปหามัน แต่ตามที่บอกว่า สัตว์ที่นี่เลี้ยงให้กินหญ้าตามธรรมชาติ ไม่ได้มีหญ้าขายให้เราเดินไปเลี้ยงแพะเหมือนบางที่

ถนนในทุ่งหญ้า เราสามารถขับรถวนและจอดบนเส้นทางที่ได้จัดทำไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปในทุ่งหญ้า ถ่ายรูปน้องแพะน้องจะเดินทั่วทุ่งหญ้าค่ะ แทะหญ้าตรงจุดนี้แล้วจะมูฟไปยังจุดอืนต่อ เพราะฉะนั้นวิวที่เห็นในแต่ละมุมจะไม่เหมือนกัน

มองจากมุมนี้ จะมองเห็นฝูงวัวและแพะที่ยืนกินหญ้าอยู่เยอะมาก ยืนเกาะกลุ่มเป็นฝูงตามเนินเล็กๆไล่ระดับกันไป ซึ่งสัตว์แต่ละกลุ่ม คือ ของชาวบ้านที่ต้อนมากินหญ้านั่นเอง บางจุดก็จะได้เห็นยืนใกล้กับอุโมงค์ต้นไม้ จะได้ภาพอีกมุมหนึ่งที่สวยเหมือนกัน ตั้งแต่เห็นทุ่งหญ้าในเมืองไทยที่สามารถเข้าไปถ่ายรูปได้มาหลายที่ ยกให้ทุ่งหญ้า 1500 ไร่ แห่งกุยบุรี สวยที่สุด มองไปทางไหน ถ่ายรูปมุมไหนคือ สวย และเป็นความสวยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแบบไม่ได้ปรุงแต่ง

มีมุมต้นไม้เดียวดายในทุ่งหญ้าด้วยค่ะ มองเห็นวัว แต่จะสีเข้มหน่อยยืนอยู่ไม่ไกล

ขับรถออกมาจากทุ่งหญ้าวนเข้ามาในอุโมงค์ต้นไม้ เป็นต้นจามจุรียักษ์ที่ปลูกเรียงรายตลอดสองฝั่งถนน จากภาพมุมสูงจะเห็นว่าปลูกคั่นกลางระหว่างทุ่งหญ้าอีกฝั่งหนึ่ง ระยะทางในอุโมงค์จากปากซอยทางเข้าไปจนสุดทาง น่าจะยาวประมาณ 2-3 ก.ม. มองแล้วเป็นภาพที่สวยแปลกตา แบบไม่มีที่ไหนเหมือนอีกแล้ว

ระหว่างทางสามารถจอดรถและถ่ายรูปกับอุโมงค์ต้นไม้ได้ค่ะ มองเห็นจุดไหน โค้งไหนสวย ก็จอดรถลงไปถ่ายรูป หามุมที่ถูกใจกันได้เลย เป็นทุ่งหญ้าที่กว้างมาก และมุมถ่ายภาพเยอะมถ่ายรูปกันแบบเพลินมาก คนในพื้นที่บอกว่าในช่วงปลายฝนต้นหนาว ในวันที่สภาพอากาศปลอดโปร่ง ช่วงเช้ามาชมพระอาทิตย์ขึ้นบริเวณทุ่งหญ้า มีสายหมอกลอยมาบางน่าจะสวยมาก ได้ยินแบบนี้แล้ว ต้องกลับมาเก็บบรรยากาศสวยๆอีกครั้ง กุยบุรี ไม่ได้อยู่ไกล จากหัวหินและปราณบุรีมาก ขับรถมาประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว ลองแวะมาเที่ยวเก็บความเป็นธรรมชาติในโซนนี้กันได้ค่ะ รับรอง Unseen แน่นอน

อุทยานแห่งชาติกุยบุรี

บ่ายสามโมง ถึงเวลาที่เรารอคอย จุดหมายไฮไลท์ของการมาเที่ยวกุยบุรีในครั้งนี้ คือ ดูช้างป่า ส่องกระทิง ที่ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี  ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่รายล้อมด้วยทิวเขาสลับซับซ้อนของเทือกเขาตะนาวศรี  เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะฝูงช้างและกระทิง ที่มีมากที่สุด เรียกได้ว่าคือ จุดชมช้างป่าที่ดีที่สุดในอันดับต้นของประเทศไทย ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมสัตว์ป่าจำนวนไม่น้อย สามารถเห็นฝูงสัตว์ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังท่องอยู่ในดินแดนซาฟารี

ช่วงเวลาที่อุทยานเริ่มให้มีกิจกรรมชมช้าง คือ ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 15.00 น.-18.00 น. ให้มาตั้งแต่บ่ายสามจะได้มีเวลาอยู่ได้นาน เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าช้างจะออกมาประมาณกี่โมง คำแนะนำทานอาหารมาให้อิ่มท้อง หรือพกน้ำกับขนมติดตัวมาด้วย เพราะต้องอยู่ข้างในค่อนข้างนานเกือบสามชั่วโมงจนถึงหกโมงเย็น อาจหิวโดยไม่รู้ตัว

ทางอุทยานไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวเข้าไป สามารถมาติดต่อซื้อเหมารถนำเที่ยวเข้าไปภายในพื้นที่ ได้บริเวณ ที่อาคารต้อนรับสีขาว โดยคิดอัตราค่ารถแบบเหมาคัน 850 บาท นั่งได้ไม่เกิน 8 คน มีไกด์ประจำรถคอยดูแล 1 คน ช่วงนี้ยังอยู่ในสถานการณ์โควิด ทางอุทยานฯไม่มีการขายตั๋วเป็นคน แต่ให้เหมาเป็นคันแบบกลุ่มใครกลุ่มมัน ถ้ามา1-3 คน ต้องเหมา 1 คัน ไปเลย ค่าเหมารถจะไม่รวมค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน โดยต้องจ่ายแยกกัน และหากใครอยากได้กล้องส่องทางไกลก็มีให้เช่าอันละ 100 บาท

หลังจากซื้อตั๋วรถแล้ว ไปที่ป้ายช้างป่ากุยบุรี ลงชื่อตรงจุดคัดกรอง จากนั้นนั่งรถไปได้เลยค่ะ จะมีไกด์ 1 คนประจำรถ ที่คอยเล่าอธิบายให้ข้อมูลของอุทยาน พาเราไปยังจุดชมสัตว์ตามจุดต่างๆ

ถนนภายในอุทยานฯเป็นถนนดิน ทั้งสองข้างทางเขียวขจีด้วยต้นไม้มองไปทางไหนแสนสบายตา  ผืนป่าภายในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี  เป็นป่าผืนใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตกติดต่อกับชายแดนพม่า เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี ประกอบด้วยป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ หนาแน่นด้วยพันธุ์ไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจมากมาย เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด นั่งรถไปจะได้ยินเสียงนกร้องตลอดทาง มีนกบินโฉบเฉี่ยวผ่านไปตลอด ไกด์บอกว่า ที่นี่คือ แหล่งดูนกชั้นดีที่นักดูนกนิยมมาส่องนก บางจังหวะยังได้เห็นไก่ป่าเดินผ่านรถเราไป เป็นการส่องสัตว์ที่จะได้ลุ้นไปตลอดว่าจะได้เห็นอะไรบ้าง

นั่งรถผ่านที่ทำการอุทยานที่ตั้งอยู่ในป่า บริเวณนี้มีบ้านพักด้วย โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาพักแรกได้ แต่ไกด์บอกว่า ต้องจิตแข็งในระดับนึง เพราะบางครั้งช้างป่าจะเดินเข้ามาเอางวงเข้ามาในประตูห้องในยามดึก แต่น้องก็ไม่ได้มาทำร้ายใคร แค่มาทักทายหรือมาเล่นด้วยเฉยๆ หรือบางครั้งจะได้ยินเสียงร้องของสัตว์ป่าดังตลอด ฟังแล้วก็ต้องจิตแข็งตามที่บอกจริงๆ

มาถึงจุดแรก โป่งสลัดได เป็นจุดที่มีโป่งดินสีแดงซึ่งสัตว์ป่าชอบมากินโป่งเพื่อเป็นยาและอาหาร  จุดนี้เป็น จุดชมกระทิง ที่จะได้เห็นฝูงกระทิงมายืนกินอาหารอยู่ไกลๆ หรือบางทีก็เห็นแบบใกล้ชิด  มาที่กุยบุรี กระทิงได้เห็นเป็นฝูงแน่นอน แต่ช้างต้องมาลุ้นกัน มีบ้านที่เป็นหอส่องสัตว์ ที่เราสามารถเดินขึ้นไปชมวิวจากด้านบนได้ด้วย

ระหว่างทางนั่งรถไปยังจุดต่อไป เห็นกระทิงสองตัวยืนแน่นิ่ง นึกว่ารูปปั้น ไกด์จึงให้รถจอดแล้วหยุดดู มันก็ยังคงยืนมองสังเกตึการณ์เราอยู่สักพักแล้วเดินเข้าป่าจากไป ไกด์ที่อุทยานฯ น่ารักมาก พานักท่องเที่ยวมาบ่อยจนชำนาญ ถ้าเห็นสัตว์ป่าตรงไหนจะคอยชี้ หรือหยุดรถให้ชมตลอด

มาถึง ผาชมสัตว์ป่า เป็นจุดไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะมาหยุดอยู่ตรงจุดนี้ เพื่อรอดูช้างที่จะออกมาในช่วงเย็น รวมทั้งฝูงกระทิงที่จะได้เห็นก่อนช้าง รอแล้วรอเล่าจนเกือบห้าโมงเย็น ช้างก็ยังไม่เผยตัวออกมา เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่า ออกน่ะแต่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม่ตรงนั้น แต่เมื่อวานออกมาให้เห็นแบบใกล้มากอยู่ตรงลานนี้เลย ตามที่บอกว่าการมาดูช้างที่กุยบุรี ไม่ใช่การดูช้างในสวนสัตว์ที่ได้เห็นแน่นอน แต่เป็นการดูแบบธรรมชาติในป่า ที่ต้องมาลุ้นหน้างาน ว่าจะได้เห็นใกล้ หรือไกล หรือไม่ได้เห็น

บางวันได้เห็นฝูงช้างโขลงใหญ่ที่มาโชว์ตัวแบบใกล้ชิด แต่บางวันอาจไม่ได้เห็นหรือเห็นน้อย เป็นความรู้สึกให้ได้ลุ้น  ตื่นเต้นดีไม่น้อย สำหรับเราจะได้เห็นหรือไม่ก็คงต้องแล้วแต่ดวง แต่แค่ได้ออกมาเห็นผืนป่า ต้นไม้เขียวขจีแบบนี้ก็มีความสุขแล้ว ไกด์เล่าว่าบางคนมา 4 รอบ เพิ่งจะได้เห็นช้างเป็นฝูงแบบใกล้ๆครั้งที่ 4  แต่มีคนในพื้นที่บอกทริคว่า ถ้าอยากเจอห้ามขอ ห้ามบน หรือพกสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรเข้ามาทั้งสิ้น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ คิดว่ามาเที่ยว ส่วนใหญ่มาแบบไม่คาดหวังจะได้เห็นช้างแบบใกล้เป็นฝูงเกือบทุกคน สงสัยเราคงตั้งใจมากไป ขอให้ได้เห็นไปก่อนนหน้านี้เลยอดไป

หลังจากรอช้างนานแล้วถอดใจ คงไม่ได้เห็นแน่ เจ้าหน้าที่เลยพามาดูฝูงประทิงแบบใกล้ชิด  เจ้าหน้าที่อุทยานและไกด์ จะมีวิทยุสื่อสารที่คอยบอกข่าวกันตลอดว่าช้างหรือกระทิง มาตรงไหน จะพานักท่องเที่ยวไปตรงจุดนั้น

หลังจากเดินไปดูกระทิงแล้ว กลับมายังจุดเดิมเพื่อนั่งรถเตรียมเดินทางกลับ แต่แล้วน้องช้างก็เดินออกจากป่ามาปรากฎตัวให้เห็น แต่เห็นแบบไกลมากๆ เลนส์ซูมมาได้แค่นี้ แต่ก็ถือว่าได้เห็น ถึงแม้จะไม่ได้เห็นเป็นฝูงใหญ่แบบใกล้ๆในภาพที่เราเคยเห็นในรีวิวก็ตาม

ในระหว่างนั่งรถกลับฝนเริ่มตกลงมา และแล้วก็ได้ยินเสียงดังแบบใกล้มาก เป็นเสียงช้างตัวโต ที่เดินออกมาจากป่า  เหมือนกำลังส่งเสียงเรียกโขลงของมัน น้องเป็นเพศผู้ตัวใหญ่ ถึงแม้จะได้เห็นแค่ตัวเดียวแบบใกล้ขนาดนี้ก็ดีใจแล้ว บางคนอาจจะคิดว่าจะตื่นเต้นทำไม เคยเห็นช้างเป็นฝูงได้เยอะแยะ ทั้งในสวนสัตว์ หรือในศูนย์แสดงช้าง แต่ความรู้สึกไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง เพราะการมาดูช้าง กระทิง ที่กุยบุรี คือ การชมตามธรรมชาติ ต้องคอยลุ้นตลอด ถ้าได้เห็นเป็นฝูงแบบใกล้ คือ มิชชั่นคอมพลีท แต่ถ้าไม่ได้เห็นก็อยากจะมาใหม่ ไม่อย่างนั้นบางคนจะมาถึงสี่รอบหรือค่ะ ความสนุกมันจึงอยู่ที่ตรงนี้

วันที่สอง 

ก่อนกลับเราแวะไปที่ อ่างเก็บน้ำยางชุม เป็นโครงการชลประทาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวงรัชกาล 9 สามารถขับรถมาชมวิวบริเวณสันอ่างเก็บน้ำ จอดชมวิวภูเขาสวยที่รายล้อม และหากโชคดีอาจจะเดินเจอกับฝูงแพะของชาวบ้านที่นำมากินหญ้าบริเวณอ่างเก็บน้ำด้วย แวะมาตอนเช้าอากาศสดชื่นเย็นสบายมาก และหากมาในช่วงเย็นในวันที่สภาพอากาศปลอดโปร่ง สามารถมาชมพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย

เมื่อได้มาสัมผัสความเป็น กุยบุรี เวอร์ชั่นแบบธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ มีความเงียบสงบ ตลอดเส้นทางการขับรถในโซนนี้ จะเห็นแต่วิวสีเขียว ผสมผสานไปกับบ้านเรือนของชาวบ้านที่ยังคงยึดอาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพ มีการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ที่ยังไม่มีการปรุงแต่งมากนัก บอกได้เลยต้องมีมาเที่ยวที่นี่เพื่อมาพักผ่อนชาร์ตพลังอีกรอบเป็นแน่