พักร้อน ไปนอนเล่น เกาะพยาม ระนอง
“ เกาะพยาม ไม่เห็นมีอะไร น้ำไม่ใส หาดทรายไม่ขาวเหมือนทะเลทางใต้ที่อื่น ทำไมนึกถึงทะเลระนองต้องพูดถึงแต่เกาะพยาม ” ความคิดที่มีต่อเกาะนี้มาตลอด และในที่สุดเมื่อมีโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเอง ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ทั้งหมด จากที่คิดมาตลอดว่า เกาะพยาม ไม่มีอะไร ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เกาะนี้มีอะไรมากเหลือเกิน ครั้งหนึ่งในชีวิตของการไปเที่ยวทะเล ถ้าไม่ได้มาที่นี่คงรู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก รีวิวนี้จะมาบอกเล่าเรื่องราวท่องเที่ยวเกาะพยามในมุมมองที่เคยได้สัมผัสมาค่ะ
ควรใช้เวลาเที่ยวกี่วันสำหรับ เกาะพยาม ถึงจะเรียกว่าได้สัมผัสบรรยากาศแบบเต็มที่ 3 วัน 2 คืน คือ ช่วงเวลาที่พอเหมาะทุกหาดบนเกาะ แต่ถ้าไม่มีเวลามากพอ 2 วัน 1 คืน สามารถเที่ยวได้สบายๆค่ะ การเดินทางไปเกาะพยามเริ่มที่ท่าเรือเทศบาลตำบลปากน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองระนองใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีเท่านั้น จากท่าเรือไปยังเกาะพยามจะต้องนั่งเรือข้ามไปเกาะ มีเรือที่ให้บริการ 2 แบบ นั่นคือ เรือธรรมดาใช้เวลาเดินทางชั่วโมงครึ่ง ราคาคนละ 200 บาท และเรือสปี๊ดโบทใช้เวลา 30 นาที ราคาคนละ 350 บาท
เพื่อความรวดเร็วในการเดินทางเราเลือกเดินทางโดยเรือสปีดโบ๊ทรอบสุดท้ายจากระนอง คือเวลา 14.30 น. เพียง 30 นาที ก็มาถึงท่าเรือฝั่งเกาะพยาม ตรงจุดนี้เรียกว่า ท่าเรืออ่าวแม่หม้าย
น้ำทะเลที่อ่าวแม่ม้ายฝั่งท่าเรือน้ำใสใช้ได้เลยทีเดียว อ่าวเม่ม้าย ถือว่าเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเกาะพยามทั้งหมด เพราะจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ไม่ว่าจะร้านค้า ร้านอาหาร มอเตอร์รับจ้าง หรือร้านมอเตอร์ไซต์ให้เช่า รวมถึงเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทชื่อดังบนเกาะพยาม เดอะบลูสกาย รีสอร์ท บนเกาะพยามมีหลายอ่าว เรียงตามลำดับความใกล้ ได้แก่ อ่าวแม่ม้าย อ่าวเขาควาย อ่าวใหญ่ อ่าวกวางปีบ อ่าวที่ค่อนข้างใหญ่และมีที่พักให้เลือกเยอะคือ อ่าวเขาควาย และอ่าวใหญ่ แต่ละอ่าวตั้งอยู่ไม่ไกลกันมาก สามารถเดินทางถึงกันด้วยมอเตอร์ไซต์ใช้เวลาเพียง 10-15 นาที เท่านั้น เป็นการเที่ยวเกาะที่รู้สึกว่าสะดวกสุดๆ
ไม่ไกลจากท่าเรืออ่าวแม่ม้าย เป็นที่ตั้งของวัดเกาะพยาม วัดที่เพียงแห่งเดียวบนเกาะซึ่งเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านที่นี่ มีเอกลักษณ์คือ หากเรานั่งเรือมาจะเห็นพระอุโบสถกลางน้ำสวยเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล
เมื่อมาถึงท่าเรืออ่าวแม่ม้าย ทำอย่างไรต่อจะเที่ยวรอบเกาะและไปที่พักอย่างไรดี ที่เกาะพยามมีพาหนะโดยสารเพียงอย่างเดียวนั่นคือ มอเตอร์ไซต์รับจ้าง หรือที่ชาวเกาะพยามเค้าเรียกว่า แท๊กซี่ หากใครขี่มอเตอร์ไซต์ไม่เป็นและไม่มีรถของทางรีสอร์มารับก็คงต้องใช้บริการพี่วินแท๊กซี่ค่ะ ราคาโดยสารจะอยู่ที่ 80-150 บาท ต่อเที่ยวแล้วแต่ระยะทาง แต่ถ้าใครขี่มอเตอร์ไซต์ได้จะดีมาก เพราะจะได้เที่ยวชมวิวรอบเกาะได้สะดวกและประหยัดขึ้น แนะนำให้เช่าจากท่าเรือไปเลย มีร้านค้าหลายร้านตรงท่าเรือที่ให้บริการเช่า ราคาเช่าต่อวัน เกียร์ธรรมดาวันละ 200 บาท เกียร์ออโต้ 250 บาท สำหรับฉันถือว่าโชคดีเพื่อนร่วมทางขี่มอเตอร์ไซต์เป็น เลยเช่ามอเตอร์ไซต์จากท่าเรือและขับไปยังที่พัก
ถนนหนทางที่ใช้สัญจรภายในเกาะพยามส่วนใหญ่เป็นถนนคอนกรีต ทางดี ขับง่าย บางเส้นตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นยางพาราพืชเศรษฐกิจซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวบ้าน จะพบเห็นสวนยางได้เยอะในถนนที่จะมุ่งไปยังอ่าวใหญ่ นั่งรถผ่านรู้สึกร่มรื่น มาเที่ยวเกาะแต่ไม่รู้สึกร้อนเลยซักนิด รู้สึกเย็นสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ สวนยางบนเกาะค่อนข้างสวยค่ะ ที่เกาะพยามยังชูเรื่องสวนยางพาราเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกอย่างหนึ่งด้วย วิถีชีวิตของชาวบ้านบนเกาะที่เรารู้สึกว่ายังดูเป็นชาวบ้านแบบดั้งเดิมอยู่มากจะไม่ค่อยออกเชิงการค้าหรือธุรกิจอะไรมากนัก
ที่พักของบนเกาะพยามตลอด 3 วัน 2 คืน เราพักที่ เดอะบลูสกาย รีสอร์ท จากท่าเรืออ่าวแม่ม้ายเลี้ยวขวาตรงไปจะเจอสะพานข้ามไปยัง บลูสกายรีสอร์ท น้ำของที่นี่จะขึ้น ลง เป็นช่วงเวลาค่ะ ฉันข้ามสะพานนี้มา 2 เวลา คือ ตอนเที่ยงพื้นที่ตรงนี้แห้งขอดเห็นแต่พื้นทราย แต่พอขับรถมาอีกทีตอนบ่าย 2 ครึ่ง น้ำทะเลเริ่มขึ้นแล้วค่อยๆ ไหลเข้ามากลายเป็นภาพท้องทะเลกว้างใหญ่ สีสันของสีน้ำทะเลตัดกับสวยงามมาก จริงแล้วฉันว่าน้ำทะเลที่เกาะพยามค่อนข้างใสเลยทีเดียวเพียงแต่ว่าทรายไม่ได้มีสีขาวจะออกเป็นสีน้ำตาลมากว่า บางครั้งน้ำขุ่นก็เกิดจากทราย เลยทำให้รู้สึกว่าทะเลที่นี้สวยสู้ที่อื่นไม่ได้
มาถึงที่พักเดอะบลู สกาย ที่นี่ไม่ได้สวยแค่ห้องพัก แต่สวยและคุ้มค่าด้วยบรรยากาศติดริมทะเล มีมุมให้ได้นั่งเล่นพักผ่อนหลายมุม ราคาในหน้าเว็บคืนละ 7 พันบาท (รวมอาหารเช้า) แต่เราจองในงานท่องเที่ยวไทยราคาคงลดไปเยอะ แต่สำหรับใครที่ไม่ได้พักสามารแวะมาถ่ายภาพชมวิว หรือทานอาหารได้ค่ะ เค้าเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนถึงแม้ไม่ได้เป็นแขกที่มาพักก็ตาม
คอนเซ็ปต์ของบลูสกาย คือ มัลดีฟเมืองไทย ซึ่งถ้าเป็นช่วงน้ำขึ้นพื้นด้านล่างของบ้านพักทุกหลังก็จะอยู่ท่ามกลางสายน้ำสีเขียวมรกตสวยงาม บรรยากาศคล้ายกับบ้านพักกลางทะเลมัลดีฟ แต่น่าเสียดายวันที่ฉันเดินทางเป็นช่วงที่น้ำแห้งจะเห็นเป็นพื้นทรายแทน แต่ถึงแม้ไม่มีน้ำก็ยังสวยอยู่ดี ที่พักติดแอร์ทุกหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ
บรรยากาศภายในห้องพัก มีหน้าต่างกระจกเห็นวิวรอบด้าน
ด้านนอกทำพื้นระเบียงไม้ยื่นออกไปพร้อมเก้าอี้ให้ได้นั่งพักชมวิว หรือจะนั่งเล่นห้อยขาก็ย่อมได้
ในช่วงบ่าย 3 กว่าๆ น้ำจะเริ่มลงมาและไหลเข้ามายังที่พักแบบนี้ค่ะ
บ้านหลังที่ติดกับทางน้ำสายหลักที่ไหลลงมาก็สามารถลงไปเล่นน้ำได้เลย
มุมแปลผ้าริมหาดมีให้เห็นหลายจุดในรีสอร์ท นอนไกวริมทะเลชิวแท้
เรือคายัคมีไว้ให้พายฟรีสำหรับลูกค้าค่ะ
ที่บลูสกายมีมุมนั่งเล่นเยอะมาก นั่งจิบเครื่องดื่มมองวิวทะเลที่กว้างไกลสุดตา เป็นความรู้สึกดี และสบายใจ อย่างบอกไม่ถูก
ล๊อบบี้ของรีสอร์ท เหมาะสำหรับนั่งเล่น แดดแรง แต่มีลมเย็นของทะเลพัดเข้ามาตลอดนั่งไปก็ชวนหลับ
สมูทตี้และเครื่องดื่มเย็นๆ รสชาติอร่อยมากสั่งดื่มหลายแก้ว ชอบที่สุดคือ กีวี่ผสมมะนาว ออกเปรี้ยวๆ หวานชื่นใจ ดับกระหายได้ดีเลยทีเดียว ราคาจะอยู่ที่แก้วละ 90 -120 บาท
หน้าตาของอาหารมื้อกลางวัน ส้มตำกุ้งสด ยำปลาสมุนไพร สลัดทูน่า สำหรับราคาอาหารที่บลูสกายสำหรับฉันค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับปริมาณอาหารถือว่าคุ้มค่า เพราะแต่ละจานใหญ่มาก แถมรสชาติอร่อยด้วยค่ะ ทั้งหมดนี้รวมเครื่องดื่มสมูทตี้และบลูฮาวาย ราคา 1 พันกว่าบาท
ช่วงเย็นขับรถกลับมายังอ่าวใหญ่ เพื่อรอถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก อ่าวนี้ ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามของเกาะพยาม
โดยปกติเห็นบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกที่มีแต่น้ำทะเล เรือ และดวงอาทิตย์ มาประกอบฉากกัน แต่พระอาทิตย์ตกที่อ่าวใหญ่ มีพื้นทรายสีทองพร้อมด้วยริ้วลายของปฎิมากรรมทรายที่สร้างสรรค์โดยเจ้าปูน้อย รวมถึงริ้วทรายที่ถูดซัดจากเกลียวคลื่น เข้ามาร่วมฉากด้วยเป็นภาพที่สวยงามไปอีกแบบ เดินมองริ้วลายจนเพลินไปเลย
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงมาเรื่อยๆ ความจ้าของแสงเริ่มน้อยลง เห็นเป็นดวงกลมมากขึ้น เรือประมงของชาวบ้านทั้งลำเล็กและลำใหญ่ วิ่งผ่านพระอาทิตย์ดวงกลมสลับกันไปมาคงเป็นภาพที่พวกเขาเห็นชินตาทุกวัน
สำหรับฉันถึงแม้เที่ยวทะเลมาเยอะ คงได้แต่เห็นภาพทะเลใสๆ น้อยครั้งมากที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกดวงกลมโตลาลับขอบฟ้าไปเช่นนี้ ครั้งแรกที่เห็นคือ หาดพัทยา เกาะหลีเป๊ะ ครั้งที่สองคือ เกาะเต่า และครั้งที่สามที่อ่าวใหญ่ เกาะพยาม เกาะที่ฉันรู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่วันนี้มันมีสิ่งที่ทำให้แขกผู้มาเยือนอย่างฉันได้ประทับใจกับการเดินทางมาวันแรกกับภาพนี้แล้วละ
แม้พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าหายไปในทะเล แต่บรรยากาศยังคงสวยงาม สมกับที่คำร่ำลือที่ว่า อ่าวใหญ่ คือ จุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของเกาะพยาม
เช้าวันต่อมาหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วเราไปที่ อ่าวเขาควาย ซึ่งจะแบ่งเป็นอ่าวเขาควายฝั่งเหนือและเขาควายฝั่งใต้ หากขับรถมาจากท่าเรือจะถึงอ่าวเขาควายฝั่งใต้ก่อนใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที อย่างที่บอกว่าอ่าวแต่ละอ่าวอยู่ใกล้กัน แต่รถมอเตอร์ไซต์ไม่อนุญาติให้ขับเข้าไปถึงอ่าวหรือหาดค่ะ ต้องจอดไว้ทีรีสอร์ทใดซักรีสอร์ทที่อยู่ติดอ่าวนั้นแล้วเดินลงไป เลือกได้เลยว่าจะจอดตรงไหน แต่ละรีสอร์ทจะมีที่สำหรับจอดมอเตอร์ไซต์ไว้ชัดเจน จอดรถไว้ที่ พยามคอทเทจ จากนั้นเดินไปนิดนึง อ่าวเขาควายฝั่งใต้หาดทรายเป็นสีขาวแตกต่างจากอ่าวทุกอ่าวรวมถึงมีน้ำทะเลใสที่สุดบนเกาะพยาม
และที่สำคัญอ่าวนี้เป็นที่ตั้งของ หินทะลุ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเกาะพยาม ลักษณะจะคล้ายกับซุ้มประตูหินเกาะไข่ ตะรุเตา น้ำทะเลตรงหินทะลุใสมาก ๆ
และไม่ได้มีเพียงช่องหินทะลุช่องเดียวค่ะ ถัดไปมีอีก 1 ซุ้มประตุ ซึ่งมีรูกลมอยู่ 3 ช่อง เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกอเมซิ่งมาก เกาะพยามเริ่มมีอะไรขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบเต็ม 100 แล้ว บริเวณหินทะลุมองขึ้นไปมีที่พักอยู่ 1 แห่ง คือ บัพเฟอโร่ฮิว
จาก อ่าวเขาควายใต้ ไปยังอ่าวสุดท้ายไกลที่สุดและอยู่เหนือสุดของเกาะพยามนั่นก็คือ อ่าวกวางปีบ เส้นทางช่วงสุดท้ายเป็นดินแดงชันเล็กน้อย
เป็นอ่าวที่มีบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบที่สุดและดูห่างไกลผู้คน อ่าวนี้มีที่พักเพียงแห่งเดียว คือ กวางปีบรีสอร์ท
น้ำทะเลในอ่าวนี้ค่อนข้างใส แต่หาดทรายเป็นสีน้ำตาลตามแบบฉบับทรายของเกาะพยาม
หลังจากขับรถตะลอนสำรวจอ่าวครบแล้ว บ่าย 2 โมง กลับมายังที่พักเดอะบลูสกาย หลบแดดร้อนกันซักนิด เพื่อรอไปชมพระอาทิตย์ตกอีก 1 อ่าวของเกาะพยาม นั่นก็คือ อ่าวเขาควายฝั่งเหนือ ซึ่งยังไม่ได้แวะไป อ่าวนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยอีกจุดของเกาะพยาม ฉันเลือกจอดรถไว้ที่ บานาน่า รีสอร์ท หลังจากนั้นเดินลงไปนั่งรอชมวิว มาถึงปุ๊บแอบตกใจ เพราะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกเยอะมาก เหมือนนั่งดูหนังกลางแปลง อาจเป็นเพราะอ่าวเขาควายฝั่งเหนือเป็นอ่าวที่มีทีพักร้านอาหารเยอะกว่าอ่าวอื่นด้วย บางร้านทำเป็นที่นั่งยื่นออกมาเพื่อชมพระอาทิตย์ตกกันเลยทีเดียว
เป็นคืนสุดท้ายก่อนกลับที่รู้สึกว่าคุ้มค่า ตลอดเวลา 3 วัน 2 คืน ที่อยู่บนเกาะพยาม ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตลาลับขอบฟ้าทุกเย็นในมุมที่และพื้นที่ที่แตกต่างกัน
จบการรีวิวด้วยภาพนี้ เกาะพยามมีอะไร ทำไมต้องไป หลังจากอ่านรีวิวนี้จบฉันเชื่อว่าหลายคนคงได้คำตอบ ได้รู้จักเกาะพยามในหลายมุมมากขึ้น ทั้งน้ำทะเลสีสวย พระอาทิตย์ตกงาม บรรยากาศของความสงบและเป็นธรรมชาติ ครบอยู่ในเกาะเดียว หวังว่าคำตอบของการเที่ยวทะเลในหน้าร้อนนี้ คงมีชื่อของ เกาะพยาม ผ่านเข้ามาในความคิดของเพื่อนๆ บ้างค่ะ