เที่ยวสุรินทร์ แบบคูลๆ Check in 7 จุดห้ามพลาด
เมื่อก่อนนอกจากช้าง ปราสาทหิน ที่เที่ยวสุรินทร์ ในความคิดของเราคงไม่มีอะไร เก็บไว้เป็นอันดับท้ายที่จะไปเที่ยว แต่เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือน ความคิดที่มีต่อสุรินทร์เปลี่ยนไป เป็นจังหวัดที่กว้างขวางและเจริญมาก แต่ในความเจริญยังคงมีวิถีของชนบทแบบพื้นถิ่นซ่อนอยู่ ในช่วงฤดูทำนาเกือบทั้งจังหวัดมีแต่ความเขียวขจีของนาข้าว สมกับเป็นเมืองที่ดังและเป็นต้นฉบับในเรื่องการปลูกข้าวพื้นเมือง มีคาเฟ่ชิคๆถ่ายรูปสวย อาหารอร่อย และหากดูตามระยะทางไม่ได้ไกลมาก ระยะเวลาพอกับไปเที่ยวเขาค้อที่เรามักคิดว่าใกล้ คือ ประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า ใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืนก็เที่ยวได้ มาเที่ยวสุรินทร์แบบคูลๆ กับ 7 จุดห้ามพลาด
Check in 1 วนอุทยานพนมสวาย
เราเดินทางออกจากกรุงเทพด้วยรถส่วนตัวแต่เช้าตรู่ประมาณ 6 โมง มาถึงจุดหมายแรก วนอุทยานพนมสวาย เป็นภูเขาบนที่ราบทำนาของจังหวัดสุรินทร์ คือ พนมพรอล พนมเปร๊าะ และพนมสรัย ทั้งสามลูกรวมกันกลายเป็นเขาพนมสวาย ผืนป่าขนาดเล็กไม่ไกลจากตัวเมืองสุรินทร์ มีบรรยากาศร่มรื่นสวยงาม ผู้ที่มาเยือนเขาพนมสวายจะได้สักการะ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล คือ พระใหญ่หรือพระพุทธสุรินทรมงคล อัฐิหลวงปู่ดุล พระพุทธรูปองค์ดำ หลวงปู่สวน รอยพระพุทธบาทจำลอง ศาลเจ้าแม่กวนอิม เต่าศักดิ์สิทธิ์ และสระน้ำศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเข้ามาในเขตวนอุทยานพนมสวาย จะได้สyมผัสกับบรรยากาศของความเขียวขจี และจุดแรกที่จะได้พบเจอซุ้มประตู เป็นซุ้มที่สลักลวดลายสวยงาม สถาปัตยกรรมขอมโบราณ มีทางเดินจากทางเข้าอุทยานไปจนถึงปราสาทขอมจำลองขนาดเล็ก
ผ่านซุ้มประตูเป็นที่ตั้งของสถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล เกจิอาจารย์ที่ได้รับความเคารพศรัทธาอย่างสูงสำหรับชาวสุรินทร์ และทั่วประเทศ ทางเข้าสถูปแขวนระฆังทอดยาวไปจนถึงตัวสถูป
จากนั้นขับรถขึ้นไปอีก 300 เมตร เพื่อไปสักการะพระพุทธสุรินทรมงคล ที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขา เป็นพระพุทธรูปสีขาว ปางประทานพร ภปร สำหรับทางขึ้นมีบันไดจำนวน 200 กว่าขั้น ระหว่างทางเรียงรายไปด้วยระฆังจำนวน 1080 ใบ ให้ผู้มาเยือนเคาะเพื่อความเป็นสิริมงคล เมื่อเดินขึ้นไปจะพบกับศาลาหลังเล็กหลังหนึ่ง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ดำ อยู่ด้านหน้าของพระพุทธสุรินทรมงคล เป็นศาลาที่สร้างด้วยลวดลายสลักงดงามศิลปะแบบขอมโบราณ
พระพุทธสุรินทรมงคล พระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่เด่นสง่ามองเห็นได้แต่ไกล เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศูนย์รวมจิตใจชาวเมืองสุรินทร์ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางประทานพร หน้าตักกว้าง 15 เมตร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามไว้ โดยสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ. 2520 ดำเนินการสร้างโดยพุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์
ด้านหลังพระพุทธสุรินทรมงคล มีบันไดทางเดินลงไป มีจุดชมวิวที่สวยงามของท้องทุ่งนาเขียวขจีของชาวสุรินทร์ได้กว้างไกล
จุดต่อไป วัดพนมศิลาราม มีอุโบสถที่โดดเด่นขนาดใหญ่ใช้เป็นวิหารและศาลา มีวิหารพระสังกัจจายน์ ให้ประชาชนได้กราบไหว้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติพร้อมกับทำบุญไหว้พระสบายใจไปพร้อมกัน
วนอุทยานแห่งชาติพนมสวาย
ที่ตั้ง : ต.สวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ ห่างจากตัวเมือง 25 กิโลเมตร
เวลาทำการ : ทุกวัน 8.00-18.00 น.
ค่าเข้าชม : เสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท
โทร 044 518 132
Check in 2 สนิมคาเฟ่
สนิมคาเฟ่ ร้านกาแฟสุดชิคในตัวเมืองสุรินทร์ ตกแต่งร้านเป็นเอกลักษณ์ในสไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์และรัสติก ที่แฝงไปด้วยความดิบแบบเท่ๆ นั่งชิว จิบกาแฟ มีมุมถ่ายรูปมากมาย ใครที่มีโอกาสมาเยี่ยมเยียน จังหวัดสุรินทร์ แนะนำว่าต้องไม่พลาด ตัวร้านเป็นตึกแถวอาคารพาณิชย์ริมถนน ในโทนสีน้ำตาลเข้ม มองจากหน้าร้านจะไม่รู้สึกสะดุดตานัก แต่เมื่อเข้ามาในร้านต้องร้องว้าวกับการตกแต่งที่มีสไตล์มาก ร้านแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายโซน ทั้งโซนห้องแอร์แบบอินดอร์และโซนบาร์
การตกแต่งที่โดดเด่นของร้าน คือ ผนังปูนที่เซาะเผยให้เห็นความดิบของอิฐ ผสมผสานกับเฟอร์นิเจอร์เก่าแบบวินเทจกับสมัยใหม่ได้อย่างลง บางมุมเพิ่มความเก๋แบบมีดีไซน์ด้วยการเจาะผนังอิฐแบบเปิดโล่ง และนำเหล็กมากั้นเป็นสัดส่วน
พื้นที่ในส่วนของชั้นสองแบบเอาท์ดอร์ ที่มุมหนึ่งกลายเป็นมุมไฮไลท์แบบเก๋ๆ เจาะกำแพงอิฐเป็นหน้าต่าง เปิดให้แสงส่องผ่านเข้ามาสวยมาก ส่วนชั้น 3 ทำเป็นห้องส่วนตัวเพื่อรองรับลูกค้าที่มาประชุมพบปะกันเป็นกลุ่ม
นอกจากเครื่องดื่ม ยังมีเมนูอาหาร เบอเกอรี่ให้บริการ อาหารเน้นเป็นอาหารจานเดียว อาหารอีสาน และอาหารทานเล่ย รสชาติอาหารอร่อย และเครื่องดื่มดีมาก
สนิมคาเฟ่ สุรินทร์
พิกัด : ตำบล สลักได อำเภอเมืองสุรินทร์ สุรินทร์
เปิดให้บริการ ; ทุกวันตั้งแต่ 7 โมงถึง 4 ทุ่ม
เฟสบุค คลิ๊ก สนิมคาเฟ่ สุรินทร์
Check in 3 หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง
มาเที่ยวสุรินทร์ต้องมีภาพช้าง เดี๋ยวจะเรียก่าไปไม่ถึง เราแวะกันที่ หมู่บ้านช้างศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง เป็นสถานที่ดำเนินงานตามโครงการนำช้างคืนถิ่น เพื่อแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนให้กลับมาอยู่ถิ่นฐานบ้านเกิดอย่างมีความสุขโดยจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว อาทิ การแสดงของช้าง พิพิธภัณฑ์ช้าง และการแสดงช้างเล่นน้ำ เป็นต้น
ในช่วงเวลาที่ไม่มีการแสดง สามารถเข้ามาชมและสัมผัสช้างได้อย่างใกล้ชิด ทั้งลอดท้องข้างขี่ช้าง นั่งงวงช้าง โดยให้ค่าตอบแทนใส่กล่องบริจาคที่ควาญช้างแต่ละตัวตามความเหมาะสม ซึ่งช้างในศูนย์คชศึกษาเป็นช้างที่ค่อนข้างเชื่องมีคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี
หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ คนละ 50 บาท
เด็กโต คนละ 20 บาท
เด็กเล็ก คนละ 10 บาท
ชาวต่างชาติ คนละ 100 บาท
การแสดงช้างแสนรู้ เปิดการแสดงทุกวัน วันละ 2 รอบ คือ 10.00 น. และ 14.00 น. ไม่เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีการแสดงความสามารถของช้างในศูนย์ฯ อาทิ ช้างเต้นรำ ช้างวาดรูป ช้างปาลูกโป่ง ช้างเตะฟุตบอล ฯลฯ
โทร 044-517 461 044-145 050
Check in 4 Satom Organic Farm
Satom Organic Farm แซตอม ออร์แกนิคฟาร์ม ตั้งอยู่ที่อำเภอจอมพระ เป็นสถานที่ท่องเที่ยววิถีเกษตรที่เปิดให้บริการได้ไม่นาน เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าประเภทเกษตรอินทรีย์โดยเน้นข้าวพื้นเมือง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุรินทร์ที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ไวน์จากข้าวพื้นเมือง นอกจากนี้ยังให้บริการที่พักในรูปแบบของฟาร์มสเตย์ริมทุ่งนา สำหรับผู้ชื่นชอบบรรยากาศแบบธรรมชาติ มาพักผ่อน เรียนรู้และสัมผัสวิถีชนบท ทั้งการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ การผลิตไวน์จากข้าวพื้นเมือง
มาถึงก็จะพบกับส่วนของพื้นที่ต้อนรับ ซึ่งจัดเป็นที่นั่งพักผ่อนและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของทางฟาร์ม อย่างเช่นข้าวพื้นเมือง และไวน์ คำว่า “แซตอม” เป็นภาษาของชนพื้นเมืองชาว กวย หรือ กูย ในจังหวัดสุรินทร์ แปลว่า นาที่ตั้งอยู่ริมห้วย บริเวณ ทุ่งแซตอม เป็นที่ราบลุ่ม แม่น้ำลำชี อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเพาะปลูก เสียดายมาเที่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคม นาข้าวโซนนี้เก็บเกี่ยวไปแล้ว ไม่อย่างนั้นบรรยากาศจะสวยกว่านี้มาก
บ้านพักของฟาร์ม เป็นบ้านหลังใหญ่ซึ่งมีอยู่เพียงหลังเดียวริมนาข้าว แต่จะตั้งอยู่คนละแห่งกับพื้นที่ต้อนรับแต่ไม่ไกลกันมาก ภายในบ้านเป็นบ้านไม้ตกแต่งน่ารัก โดยพื้นที่ส่วนกลางชั้นล่างกว้างขวางเปิดโล่งสำหรับนั่งเล่น และมีห้องพักจำนวน 1 ห้อง โดยคิดราคา คนละ 500 บาท รวมอาหารเช้า เย็น โชคดีนาข้าวบริเวณที่พักยังไม่เกี่ยว
ชั้นบนเป็นส่วนของห้องพักจำนวน 3 ห้อง พักได้ห้องละ 2 คน จำนวน 2 ห้อง และจำนวน 3 คน 1 ห้อง ส่วนห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมมี 2 ห้อง เป็นห้องพัดลมแบบติดเพดานทั้งหมด อากาศภายในห้องพักจะร้อนสักหน่อยและกลางคืนแมลงค่องข้างเยอะ สำหรับคนที่ไม่ชื่นชอบแมลงพกสเปรย์กันแมลงมาด้วยจะดีมาก และสำหรับใครที่ร้อนง่ายแนะนำให้ขอพัดลมตั้งโต๊ะกับทางเจ้าของฟาร์มเพิ่มได้ เพราะพัดลมเพดานจะพัดมาไม่ค่อยถึงตัว พัดลมตั้งโต๊ะช่วยได้มากกว่า ตอนค่ำจะร้อนแต่พอตกดึกอากาศก็จะเริ่มเย็นขึ้นนิดนึง
พื้นที่นั่งเล่นในส่วนของชั้น 2 ทำเป็นระเบียงให้สามารถไปนั่งห้อยขาชมบรรยากาศริมนาข้าว หรือจะนั่งจิบไวน์ชิวๆตอนเย็นหรือตอนกลางคืนดาวเต็มฟ้าก็มานั่งเล่นดูดาวได้
ยามเย็นมาเดินเล่นรอบบ้านชมบรรยากาศของนาข้าว
อาหารมื้อเย็นเป็นอาหารง่ายๆ ข้าวน้ำพริกปลาทู ไข่เจียว ใส่ถาดให้คนละ 1 ชุด อาหารสามารถเติมได้ พร้อมไวน์ฟรี 1 แก้ว
ตื่นมารับแสงอรุณชมบรรยากาศยามเช้า ขับรถไปขอกาแฟบริเวณพื้นที่ต้อนรับ มานั่งทานที่บ้านพัก เพราะที่บ้านพักจะไม่มีชา กาแฟ หรือน้ำร้อนให้ค่ะ ต้องไปทานยังพื้นที่ต้อนรับ แต่ถ้าอยากทานกาแฟก็ขับรถไปขอพี่เจ้าของมานั่งทานที่บ้านได้ สำหรับใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศแบบท้องถิ่นชนบท มาเที่ยวสุรินทร์ก็สามารถแวะมาที่ Satom Organic Farm กันได้
Satom Organic Farm แซตอม ออร์แกนิค ฟาร์ม
ราคาที่พัก คนละ 500 บาท รวมอาหารเช้า เย็น
โทร. 089 474 0199
เฟสบุค : Satom Organic Farm
Check in 5 มะเซิล สะเร็น
มื้อเช้าเราไม่ได้ทานอาหารในที่พักเพราะมีแค่ข้าวต้มอย่างเดียว อยากทานอะไรที่มากกว่านั้น เลยมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองที่ มะเซิล สะเร็น ร้านอาหารและร้านกาแฟบรรยากาศย้อนยุค ที่ขึ้นชื่อในเมืองสุรินทร์ เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหย่อนใจ สั่งอาหารและเครื่องดื่มมานั่งตากแอร์หรือจะรับลมริมคลอง ใครมาเที่ยวในเมืองสุรินทร์ อยากหามื้อเช้าทานแบบอร่อย แนะนำร้านนี้เพราะมีเมนูอาหารเช้ารสชาติดีและเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย
ร้านตั้งอยู่ติดริมถนน เป็นแบบบ้านไม้ตกแต่งแบบวินเทจ ด้วยเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้โบราณต่างๆ มีที่นั่งให้เลือกหลายโซน ทั้งแบบห้องแอร์ และแบบโอเพ่นแอร์รับอากาศแบบธรรมชาติ และอีกหนึ่งโซนที่นั่ง เป็นศาลาริมน้ำ ชิลสุดๆ
เมนูอาหารค่อนข้างหลากหลาย ทั้งอาหารเช้า เช่น เมนูไข่กระทะ โจ๊ก ข้าวต้ม อาหารประเภทปิ้งย่างๆทอดๆ สปาเก็ตตี้ อาหารจานเดียว อาหารประเภทยำต่างๆ พร้อมบริการเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟร้อน-เย็น-ปั่น พร้อมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาทิ น้ำส้มคั้น แครอทปั่น สับปะรด มะนาว แตงโม สตรอเบอรี่ แคนตาลูป ฯลฯ
Check in 6 บ้านท่าสว่าง จ.สุรินทร์
บ้านท่าสว่าง ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงหัตถกรรมผ้าไหมแห่งเดียวของประเทศ เป็นหมู่บ้านที่มีฝีมือในการทอผ้าไหมโบราณที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุรินทร์ ด้วยเทคนิคการทอผ้ายกทองแบบโบราณผสานกับลวดลายที่วิจิตรงดงาม โดยการทอผ้าแต่ละผืนต้องใช้คนทอเป็นจำนวนมากและใช้เวลาในการทอนานหลายเดือน มีลวดลายที่ละเอียดสวยงามเป็นเอกลักษณ์ เนื้อละเอียดนุ่มแน่นชนิดจับต้องได้ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ทอผ้าไหมยกทองโบราณเพื่อมอบให้กับผู้นำเอเปค เมื่อปี พ.ศ.2546 จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านหัตกรรมที่สำคัญของจังหวัดสุรินทร์
ผ้าไหมบ้านท่าสว่าง มีจุดเด่นพิเศษกว่าที่อื่น คือ “ไหมน้อย” ที่ละเอียดนุ่มนวล สาวและทอได้ยากยิ่ง จนเริ่มจะเลือนหายไป แทบไม่มีใครทราบว่าช่างที่นี่ทอไหมน้อยได้จนกระทั่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชปรารภว่า “สมัยก่อนผ้าไหมไทยมีความนุ่ม เนียน แน่น มาก ทำอย่างไรจึงจะได้ผ้าชนิดนั้นคืนกลับมา” เหล่าข้าราชบริพารก็ออกเสาะหา จนได้พบผ้าทอไหมน้อยที่ท่าสว่าง เมื่อทอขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นที่พอพระทัย จึงพระราชทานเงินส่วนพระองค์ สร้างโรงทอผ้าตามรูปแบบราชสำนักโบราณขึ้นที่บ้านท่าสว่างแห่งนี้ เมื่อเข้ามาภายในหมู่บ้าน จะพบกับร้านขายผ้าไหม เรียงรายกันตามเส้นทางถนนหลายร้าน ทั้งในรูปแบบของผ้าถุง เสื้อ กระเป๋า กางเกง สนนราคาเริ่มที่หลักพันจนถึงหลักหมื่น
จากนั้นเข้าไปเยี่ยมชม โรงทอผ้าไหมจันทร์โสมา โรงทอผ้าไหมตามรูปแบบราชสำนักโบราณในบรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ชื่อ“จันทร์โสมา” คือชื่อของแบรนด์ที่ก่อตั้งโดยอาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ผู้ซึ่งถือกำเนิดในตระกูลช่างทอผ้าที่สืบทอดวิชาการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ย้อมสีธรรมชาติ และทอเป็นผืนผ้ามาหลายชั่วอายุคน
การทอไหมน้อยมีขั้นตอนที่ยากกว่าการทอผ้าไหมแบบอื่น เริ่มตั้งแต่สาวไหมเส้นละเอียดมาฟอก ต้มแล้วย้อมสีธรรมชาติด้วยแม่สีหลักสามสี คือ สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแล และสีครามจากเมล็ดคราม ซึ่งสีครามนี้ย้อมได้ยาก สมัยก่อนต้องไปย้อมที่บ้านหมอคราม และวิชาก็สูญไปหมด ต้องทดลองฟื้นฟูกันขึ้นมาใหม่ เมื่อได้เส้นไหมย้อมสีแล้ว ยังต้องทำไหมทอง ปั่นเส้นด้ายควบกับเส้นเงินแท้เพื่อทอเป็นผ้ายกทอง
ด้วยลวดลายที่ซับซ้อน จึงต้องใช้ตะกอหรือเส้นไหมจำนวนมาก ตั้งแต่ร้อยถึงเป็นพัน ผ้าไหมน้อยยกทองผืนงามที่สุดใช้ถึง 1,416 ตะกอ แขวนลงมาบนกี่ทอหลังใหญ่ที่ออกแบบพิเศษ ต้องขุดหลุมบริเวณที่ตั้งกี่ลึกลงไป 2-3 เมตร เพื่อรองรับความยาวของตะกอ มีช่างทอคนหนึ่งอยู่ในหลุม คอยสอดตะกอ ใช้ช่างทอถึง 4 คนต่อหนึ่งผืน ทอได้วันละ 4-5 เซนติเมตร ใช้เวลานานกว่าจะออกมาเป็นลวดลายอย่างราชสำนักประยุกต์ มาเป็นลายเทพนม ลายหิ่งห้อยชมสวน ลายก้านขดเต้นรำ ลายครุฑยุดนาค ผสานกับลายผ้าพื้นเมืองสุรินทร์
เห็นการทอผ้าไหมมาเยอะ แต่ถ้าเป็นความอเมซิ่งที่สุดต้องยกให้บ้านท่าสว่าง สุรินทร์ นี่แหละ ที่ใช้ช่างทอหลายคนมาก สมแล้วกับผลงานในระดับชาติ ปกติเป็นคนไม่ชอบผ้าไหมเลย ไม่เคยมีความคิดจะซื้อด้วยราคาที่แสนแพง แต่ที่บ้านสว่างเป็นแห่งแรกที่ยอมเสียเงินซื้อกางเกงมาหนึ่งตัว เพราะเนื้อผ้านุ่มใส่สบายมาก แถมดีไซน์ร่วมสมัยใช้ในชีวิตประจำวันก็มีให้เลือกหลายแบบ ถึงจะเป็นแบรนด์เนมไฮเอนด์ ก็ไม่ต้องกลัวว่าราคาจะสูงเกินเอื้อมจนต้องกลับบ้านมือเปล่า กางเกงตัวนี้อยู่ในราคาหลักพันต้นๆเท่านั้น ด้วยชื่อเสียงและความมหัศจรรย์ของผ้ายกทองจันทร์โสมา บ้านท่าสว่าง จึงมีแขกมาเยือนมากมาย
รายละเอียดเพิ่มเติม
บ้านท่าสว่าง อยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางทิศเหนือ 10 กิโลเมตร ใช้ถนนสายเกาะลอย-เมืองลิง (ทางหลวงชนบท สร.4026)
กลุ่มทอผ้ายกทองจันทร์โสมา บ้านท่าสว่าง โทร. 089-202-7009, 04-455-8489-90
Check in 7 ปราสาทศรีขรภูมิ
อีกหนึ่งสถานที่ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด เมื่อเรามาเยือนเมืองแห่งปราสาทหิน ต้องไปชมความงามของ ปราสาทศีขรภูมิ ตั้งอยู่ที่อำเภอศีขรภูมิ เป็นปราสาทที่มีความสมบูรณ์และงดงามที่สุดมากที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ มีทับหลังเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว และทวารบาลยืนกุมกระบอง ซึ่งนางอัปสราที่ปราสาทศีขรภูมินี้มีลักษณะคล้ายกับนางอัปสราที่ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา ซึ่งไม่พบที่ปราสาทศิลปะเขมรโบราณแห่งใดอีกเลยในประเทศไทย พบที่ปราสาทศีขรภูมิเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ตัวปราสาทก่อด้วยอิฐบนฐานหินศิลาแลง โดดเด่นท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียว ประกอบด้วยปรางค์ 5 องค์ ปรางค์ประธานตั้งอยู่ตรงกลางก่อด้วยอิฐขัดมัน มีปรางค์บริวารล้อมรอบ 4 มุม ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน จากลักษณะทางศิลปกรรม สันนิษฐานว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งตรงกับศิลปะนครวัด โดยสามารถกำหนดอายุได้จากลวดลายบนกรอบประตูและทับหลังของปราสาทประธาน อย่างไรก็ดีปราสาทแห่งนี้ยังคงสร้างด้วยอิฐ แตกต่างจากปราสาทสมัยนครวัดในประเทศกัมพูชาที่นิยมสร้างด้วยหินทรายเสมอ
แผนผังของปราสาทศรีขรภูมิ มีความพิเศษที่แตกต่างไปจากปราสาทหลังอื่นในประเทศไทย เนื่องจากเป็นปราสาท 5 หลังที่ตั้งอยู่บนฐานไพทีเดียวกัน โดยปราสาทประธานตั้งอยู่ตรงกลางและล้อมรอบไปด้วปราสาทบริวารอีก 4 มุม ลักษระเช่นนี้แตตก่งไปจากปราสาทที่พบในประทศไทยโดยทั่วไปที่มักเป็นปราสาท 3 หลังเรียงกันอยู่บนฐาน
ปรางค์ประธาน บริเวณประตูมีทับหลังเป็นภาพพระศิวนาฏราชสิบกร ทรงฟ้อนรำอยู่เหนือเกียรติมุข ภายใต้วงโค้งลายท่อนมาลัย ซึ่งสลักเป็นภาพพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และพระอุมา บริเวณเสากรอบประตูสลักเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว และทวารบาลยืนกุมกระบอง ปราสาทศีขรภูมิ โบราณสถานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ไม่ใหญ่โตมาก แต่มีความงดงามตามแบบฉบับ สถานที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี แม้จะผ่านมานานปี คล้ายมีมนต์ขลัง ทำให้นึกถึงครั้งอดีตที่รุ่งเรือง
ปราสาทศีขรภูมิ เปิดให้ชมทุกวัน เวลา 07.30-18.00 น. ค่าธรรมเนียม คนไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาทต่อ 1 ท่าน
จังหวัดในภาคอีสานในความคิดของคนส่วนใหญ่ คือ ไกล แต่แท้จริงแล้ว บางจังหวัดสามารถเที่ยวได้โดยใช้เวลาไม่มาก หากเรายังเที่ยวอยู่แต่ในที่เดิมๆ ที่ฮิตๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นมุมมองใหม่ของจังหวัดอื่น อย่างเช่น สุรินทร์ เมืองช้าง ถิ่นปราสาทหิน เด่นดังเรื่องผ้าไหมทอง ที่รอให้เราเปิดใจมาเยี่ยมเยือน